tag:blogger.com,1999:blog-38859696705263586562024-03-12T21:35:59.848-07:00TONKLAGROUPต้นกล้ากรุ๊ป เป็นเว็บบล็อกที่พูดถึงความรู้ใหม่ๆ หรือเก่าแต่นำมารีวิวใหม่ หรือปัญหาที่พบจากการปฏิบัติจริงมาเล่าสู่กันฟัง
โดยเฉพาะเรื่องการปลูกยางพารา การอนุรักษ์หรือฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และการเกษตรเชิงอนุรักษ์ เช่นการปลูกพืชคลุมดิน(cover crops) organic agriculture รวมถึงการปลูกต้นไม้ทดแทนAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.comBlogger99125tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-58365688778463709602012-10-01T22:55:00.000-07:002012-10-01T22:55:25.377-07:00แนวตอบข้อสอบปลายภาค ภาคที่ ๑/๒๕๕๕ แนวตอบข้อสอบปลายภาค
วิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ รหัส ๒๕๖๕๐๔ ๓ (๓-๐)
คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
ผู้ออกข้อสอบ อาจารย์โกศล บุญคง
ผศ.สมนึก ขวัญเมือง
คำสั่ง ข้อสอบทั้งหมดมี ๔ ข้อ ให้นักศึกษาทำข้อสอบทุกข้อ คะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน สอบวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ เวลา ๙.๐๐-๑๒.๐๐ น.
*************************************************
<b>ข้อ ๑. ให้นักศึกษาอธิบายถึงรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรว่าหมายถึงอะไร ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้กำหนดให้ประเทศไทยอยู่ในระบบรัฐสภานั้น ให้นักศึกษาอธิบายระบบรัฐสภา ( Parliamentary System ) มาให้เข้าใจ (๒๕ คะแนน)
</b><b>แนวคำตอบ
</b>รัฐธรรมนูญที่ใช้ในปัจจุบันมี ๒ ประเภทด้วยกัน คือ
๑. รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร (unwritten constitution) หรือรัฐธรรมนูญประเภทจารีตประเพณี ซึ่งอังกฤษเป็นต้นแบบของรัฐธรรมนูญประเภทนี้ เนื่องจากวิวัฒนาการทางการปกครองประชาธิปไตยของอังกฤษ ที่อาศัยขนบธรรมเนียมประเพณี และเอกสารอื่นๆ ที่มาจากหลายแหล่งด้วยกัน เช่น จากคำพิพากษาของศาล ธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยปฏิบัติสืบต่อกันมาจนผู้ปกครองไม่อาจละเมิดได้ เอกสารสำคัญ เช่น มหากฎบัตร (magna carta) พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิ (bill of rights) พระราชบัญญัติสืบสันตติวงศ์ (act of settlement) เป็นต้น ดังนั้นอังกฤษจึงไม่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นรูปของเอกสารกฎหมายที่รวมกันเป็นลายลักษณ์อักษรทั้งหมดในฉบับเดียวกันนั่นเอง
๒.รัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร (written constitution) เป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในรัฐสมัยใหม่ ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 พร้อมกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย และรวมถึงรัฐที่ปกครองแบบเผด็จการด้วย เพราะบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของประเทศระบบเผด็จการมีบทบัญญัติกำหนดให้พรรคคอมมิวนิสต์ หรือสถาบันทางการเมืองการปกครองของรัฐมีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่ในรัฐธรรมนูญของประเทสที่ปกครองระบบประชาธิปไตยจะระบุการจำกัดอำนาจของรัฐและรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ดังนั้นรัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์อักษร (written constitution) คือการกำหนดหลักเกณฑ์ระเบียบการเมืองการปกครอง และการบริหารของรัฐเป็นตัวบทกฎหมาย เรียบเรียงเป็นเรื่องๆ และรวบรวมให้อยู่ในฉบับเดียวกัน เมื่อจะใช้ให้เป็นหลักการปกครองก็อ้างบทบัญญัติในเอกสารที่ทำไว้นี้ ส่วนกฎหมายอื่นนอกนี้นั้นไม่นับเป็นรัฐธรรมนูญ
ประเทศที่จัดการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันตามสถิติข้างต้น จะเห็นได้ว่ามีเป็นจำนวนมาก และกระจายอยู่ในหลายภูมิภาคของโลก แต่ถ้าพิจารณาในแง่ของรูปแบบ โดยทั่วไป เราอาจแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบหรือระบบ ได้แก่ (๑) ระบบรัฐสภา (๒) ระบบประธานาธิบดี และ (๓) ระบบผสม
ระบบรัฐสภา เป็นระบบโครงสร้างการปกครองที่มีอังกฤษเป็นต้นแบบ ลักษณะสำคัญของระบบรัฐสภาคือ รัฐบาลหรือฝ่ายบริหารมาจากการตั้งของฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา และต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา กล่าวคือรัฐบาลอยู่ในอำนาจได้ขึ้นอยู่กับความไว้วางใจของรัฐสภา ถ้ารัฐสภาไม่ไว้วางใจเมื่อใด เมื่อนั้นรัฐบาลก็ขาดความชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป นั่นก็คือ ไม่มีการแบ่งแยกอำนาจโดยเด็ดขาดระหว่างอานาจฝ่ายนิติบัญญัติกับอานาจฝ่ายบริหาร
Bernard E. Brown และคณะ ได้กล่าวถึงโครงสร้างการปกครองระบบรัฐสภาว่าประกอบด้วยลักษณะสาคัญ ๕ ประการคือ
( ๑) ความเป็นประชาธิปไตย การตัดสินใจทางการเมืองกระทาโดยผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเพียงปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้นำดังกล่าว
(๒) อานาจสูงสุดเป็นของรัฐสภา ตามกฎหมาย รัฐสภาจะทาอะไรก็ได้ และไม่มีกฎหมายที่ให้อำนาจแก่ศาลที่จะประกาศว่าการกระทาของรัฐสภาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
(๓) การเชื่อมโยงระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอานาจบริหาร ผู้นำพรรคการเมืองฝ่ายเสียงข้างมากในสภาเป็นฝ่ายบริหาร ในขณะเดียวกันก็รักษาตาแหน่งในสภาของตนในฐานะสมาชิกรัฐสภาไว้ด้วย คือไม่มีการแบ่งแยกอำนาจโดยเด็ดขาดระหว่างอานาจฝ่ายบริหารกับอานาจฝ่ายนิติบัญญัติ
(๔) ความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ แม้ว่าฝ่ายการเมืองจะมีความเชื่อมโยงกัน แต่ฝ่ายตุลาการเป็นอิสระและปลอดจากการแทรกแซงโดยอิทธิพลทางการเมือง ผู้พิพากษาดารงตำแหน่งตลอดชีพ และได้มีการพัฒนาธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในการประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรม
(๕) การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล โดยปกติจะมีการบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นกฎหมายที่แก้ไขยาก และเป็นกฎหมายที่กฎหมายอื่นที่มีฐานะหรือศักดิ์ต่ำกว่าจะขัดหรือแย้งไม่ได้ ถ้าขัดหรือแย้งก็จะไม่มีผลบังคับใช้
ประเทศไทยมีการปกครองระบบรัฐสภาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ดังนี้
มาตรา ๒ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มาตรา ๓ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม
ซึ่งเป็นการปกครองแบบมีผู้แทน ซึ่งรัฐบาลได้รับแต่งตั้งจากผู้แทน ขัดกับ "การปกครองแบบ
ประธานาธิบดี" อันมีประธานาธิบดีที่ประชาชนเลือกตังเข้ามา เป็นทั้งประมุขแห่งรัฐและประมุขรัฐบาล ภายใต้ประชาธิปไตยระบบรัฐสภา รัฐบาลบริหารประเทศโดยมอบหน้าที่ให้คณะรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหาร ตลอดจนถูกวิจารณ์ ตรวจสอบและถ่วงดุลอย่างต่อเนื่องโดยสภานิติบัญญัติซึ่งได้รับเลือกจากประชาชน ระบบรัฐสภามีสิทธิถอดถอนนายรัฐมนตรีได้เมื่อถึงเวลาที่สภาเห็นว่าผู้นั้นทำหน้าที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของฝ่ายนิติบัญญัติ การถอดถอนนี้เรียกว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยที่ฝ่ายนิติบัญญัติตัดสินใจว่าจะถอดนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งหรือไม่โดยการสนับสนุนเสียงข้างมากต่อการถอดถอนผู้นั้นในบางประเทศ นายกรัฐมนตรียังสามารถยุบสภาและเรียกการเลือกตั้งใหม่ได้เมื่อใดก็ตามที่ผู้นั้นเลือก และตามแบบนายกรัฐมนตรีจะจัดการเลือกตั้งเมื่อผู้นั้นทราบดีว่าตนได้รับการสนับสนุนดีจากสาธารณะที่จะได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามา ในประชาธิปไตยระบบรัฐสภาอื่น แทบไม่เคยจัดการเลือกตั้งพิเศษ แต่นิยมรัฐบาลเสียงข้างน้อยกะทั่งการเลือกตั้งปกติครั้งถัดไป
ระบบรัฐสภามีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขรัฐบาลและประมุขฝ่ายบริหาร จะมีพระมหากษัตริย์หรือประธานาธิบดีเป็นประมุขก็ได้ แต่ไม่มีอำนาจบริหาร
สรุป ประเทศไทยมีการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หมายความว่า อำนาจอธิปไตย หรือ อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศมาจากปวงชนชาวไทย อันมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาลตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ โดยอำนาจขององค์กรทั้ง 3 ฝ่าย จะต้องเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน และอยู่ในลักษณะการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน
<b>ข้อ ๒. หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญหมายถึงอะไร และวิธีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญในประเทศต่าง มีกี่วิธี ขอให้อธิบาย และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างไร จงอธิบายและยกหลักกฏหมายประกอบ (๒๕ คะแนน)
</b>
<b>แนวคำตอบ
</b>คำตอบประเด็นที่ ๑ หลักความเป็นกฎหมายสูงสูดของรัฐธรรมนูญ
ได้นำมาสู่แนวคิดในการสร้างระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นกฎหมายสูงสุด และให้ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญที่มีสถานะเหนือกฎหมายใดๆนั้นเกิดผลได้จริง ทั้งนี้โดยการกำหนดให้มีองค์กรที่มีหน้าที่ควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรนิติบัญญัติไว้ในองค์กรที่แตกต่างกันไป แล้วแต่ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศนั้นๆยกตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้ศาลยุติธรรมทุกศาล มีอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงกันข้ามกับให้ระบบที่ใช้อยู่ในประเทศออสเตรีย และประเทศฝรั่งเศส ที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะตุลาการรัฐธรรมนูญตามลำดับ เป็นองค์กรพิเศษองค์กรเดียวที่มีอำนาจในการควบคุมกฎหมาย มิให้ขัดรัฐธรรมนูญ เช่นนี้ เป็นต้น
๑. การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภา
การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภา เป็นระบบที่ได้รับการยอมรับในประเทศฝรั่งเศส ในสมัยสาธารณรัฐที่ ๑– ๓(ค.ศ. ๑๗๘๙–๑๙๔๖) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แนวคิดอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ของปรัชญาเมธีคนสำคัญรุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้มีอิทธิพล อย่างมากในระบอบรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส ด้วยเหตุนี้แนวคิดของรุสโซ จึงส่งผลต่อระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ตามแนวคิดของรุสโซ แม้รัฐธรรมนูญมีสถานะสูงสุด ที่กฎหมายใดจะขัดหรือแย้งมิได้ แต่การวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา (loi) ซึ่งเป็นการแสดงออกของเจตนารมณ์ร่วมกันของปวงชน โดยองค์กรอื่นใดจึงมิอาจจะกระทำมิได้ นักนิติศาสตร์ได้อธิบายว่า “รัฐสภา” จะเป็นผู้ทำหน้าที่วินิจฉัยเองว่ากฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภาขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ และเมื่อรัฐสภาได้ตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับแล้ว ก็ย่อมเป็นการแสดงอยู่ในตัวว่ากฎหมายนั้นไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ แนวคิดที่ว่า กฎหมาย (loi) เป็นการแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยของปวงชน ซึ่งทำให้ไม่อาจมีองค์กรใดที่จะมีอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญนี้ จึงปฏิเสธข้อเสนอของ ซีเอเยส์ (Sieyes) ที่จัดตั้งองค์กรทางการเมืองขึ้น ทำหน้าที่ในการรักษาความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ หรือที่เรียกว่า “คณะลูกขุนผู้พิทักษ์” (jury constitutionnaire) โดยได้มีการแก้ไขเป็นคณะกรรมการรัฐธรรมนูญ และมีลักษณะเป็นองค์กรพิเศษที่มีอำนาจในการควบคุมร่างกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ ในยุคต่อมา
๒. การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยศาลยุติธรรม
การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยศาลยุติธรรม ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก ในการตัดสินคดี Marbury V. Madison. ของศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. ๑๘๐๓ ซึ่งศาลสูงสุดได้วางหลักว่า ศาลทั้งหลายมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่า กฎหมายที่ตราขึ้น โดยสภาคองเกรส ซึ่งมีข้อมีความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะได้ โดยประธานศาลสูงสุด John Mashall ได้ให้เหตุผลว่าเมื่อศาลเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ ศาลจึงมีอำนาจหน้าที่ในการใช้บังคับกฎหมายแก่กรณีต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นความจำเป็นอยู่เอง ที่ศาลจะต้องตรวจสอบ ตีความและวินิจฉัยว่าอะไรคือกฎหมายที่จะนำมาใช้บังคับได้ ดังนั้น ถ้ามีกฎหมายขัดรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญนี้มีศักดิ์ที่สูงกว่ากฎหมายใดๆ ที่ตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ศาลก็มีหน้าที่ที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาด โดยยึดหลักว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่สำคัญที่สุด และกฎหมายที่ขัดรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ เพราะมิฉะนั้นแล้ว การปฏิเสธหลักการดังกล่าวย่อมจะเป็นการทำลายรากฐานของรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรสำหรับกระบวนการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยศาลยุติธรรม ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ด้วยเหตุที่ระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในสหรัฐอเมริกา เป็นระบบกระจายอำนาจ การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้น จึงอยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลยุติธรรมทุกศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา โดยมีกระบวนการพิจารณาอันเป็นสาระสำคัญ ดังนี้
นับตั้งแต่ศาลสูงสุดแห่งสหรัฐฯ ได้วางหลักไว้ในการตัดสินคดี Marbury V. Madison ในปี ค.ศ.๑๘๐๓ เป็นต้นมา หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรก็ได้รับการรับรองและคุ้มครองอย่างชัดเจน และเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรก โดยมีศาลยุติธรรมเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการควบคุมกำหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ และมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญของประเทศต่างๆ ในเวลาต่อมา
๓. การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยองค์กรพิเศษ
แนวคิดในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยองค์กรพิเศษองค์กรเดียว ได้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรก โดย Hans Kelsen นักปรัชญากฎหมาย ชาวออสเตรีย ซึ่งเสนอให้มีการจัดตั้งองค์กรพิเศษที่มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญขึ้นโดยเฉพาะ Kelsen ได้อธิบายว่า การวินิจฉัยว่ากฎใดใช้บังคับมิได้เพราะขัดรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติ เมื่อโดยปกติแล้ว กฎหมายที่ประกาศใช้บังคับ ย่อมต้องได้รับการเคารพและปฏิบัติตาม การระงับผลของกฎหมายโดยการวินิจฉัยว่ากฎหมายใช้บังคับมิได้ จึงเป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติในทางลบ (negative act of legislation) ดังนั้น ศาลพิเศษที่จัดตั้งขึ้นจึงต้องมีรากฐานที่มาจากองค์กรนิติบัญญัติ โดยให้องค์กรนิติบัญญัติมีส่วนในการแต่งตั้ง และเป็นการสมควรที่จะจัดตั้งศาลพิเศษที่มีอำนาจเพิกถอนกฎหมายของรัฐสภา เพื่อให้คำวินิจฉัยนั้นเกิดผลบังคับเป็นการทั่วไป
คำตอบประเด็นที่สองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างไร
รัฐธรรมนูญกำหนดให้อำนาจแก่ศาลรัฐธรรมนูญในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายและร่างกฎหมายนั้น มีสองรูปแบบกล่าวคือ กรณีการตรวจสอบบทบัญญัติแห่งกฎหมาย (หรือกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่แล้ว) หากเป็นการส่งมาโดยศาลอื่นนั้น รัฐธรรมนูญให้อ้างอิงกับมาตรา ๖ ของรัฐธรรมนูญที่ใช้คำว่า “(บทบัญญัติใดของกฎหมาย) ... ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ” แต่ในการตรวจสอบแบบเดียวกัน (คือบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีผลบังคับแล้ว) ในกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินหรือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติส่งความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้น รัฐธรรมนูญกลับใช้คำว่า “(บทบัญญัติของกฎหมาย)... มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” หรือกรณีของการตรวจสอบร่างกฎหมายที่อยู่ในกระบวนการตราหรือประกาศให้มีผลใช้บังคับ กรณีการตรวจสอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๑๔๑ ใช้คำว่า “พิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” ในขณะที่การตรวจสอบร่างพระราชบัญญัติตามมาตรา ๑๕๔ ใช้คำว่า “...มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ” และ “...ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่ามีถ้อยคำแตกต่างกันอยู่บ้างแต่ทั้งนี้ก็เพื่อคุมครองความเป็นสูงสุดของรัฐธรรมนูญ แยกได้เป็นสองกรณี ดังนี้
กรณีที่ ๑ การควบคุมมิให้กฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญก่อนกฎหมายบังคับใช้ รัฐธรรมนูญ พุทธศักราช ๒๕๕๐ กำหนดไว้ดังนี้
มาตรา ๑๕๐ ร่างพระราชบัญญัติใดที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยตามมาตรา ๑๔๖ หรือร่างพระราชบัญญัติใดที่รัฐสภาลงมติยืนยันตามมาตรา ๑๔๗ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายอีกครั้งหนึ่ง
(๑) หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า
(๒) หากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ให้ส่งความเห็นเช่นว่านั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาทราบโดยไม่ชักช้า
ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ให้นายกรัฐมนตรีระงับการดำเนินการเพื่อประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไว้จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ และข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญ ให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้แต่มิใช่กรณีตามวรรคสาม ให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นเป็นอันตกไป และให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการตามมาตรา ๑๔๖ หรือมาตรา ๑๔๗ แล้วแต่กรณี ต่อไป
มาตรา ๑๕๑ บทบัญญัติมาตรา ๑๕๐ ให้นำมาใช้บังคับกับร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ร่างข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา และร่างข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา แล้วแต่กรณี ให้ความเห็นชอบแล้ว แต่ยังมิได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วยโดยอนุโลม
กรณีที่ ๒ การตรวจสอบ ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ประกาศใช้บังคับแล้ว
การควบคุมมิให้กฎหมายขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ประกาศใช้บังคับแล้ว
กรณีที่พระราชบัญญัติได้ประกาศใช้บังคับแล้ว หากต่อมาปรากฏว่าบทบัญญัติของกฎหมายนั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีการควบคุมกฎหมายที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญโดยกำหนดให้มีช่องทางการเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้ ๔ กรณี คือ
๑) การพิจารณาวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ (รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๒๑๑)
การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๑๑ ต้องเป็นกรณีที่มีคดีเกิดขึ้นในศาลก่อน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในศาลยุติธรรม ศาลปกครอง หรือศาลทหาร หรือศาลอื่น และไม่ว่าคดีจะอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาลใดก็ตาม หากศาลเห็นเองหรือคู่ความ(โจทก์-จำเลย หรือผู้ฟ้อง-ผู้ถูกฟ้อง)ในคดีนั้นโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นดังกล่าวไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ (ในกรณีนี้ศาลสามารถพิจารณาต่อไปได้แต่ต้องรอการพิพากษาคดีไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ)บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนี้หมายถึง กฎหมายในระดับพระราชบัญญัติซึ่งตราขึ้นโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติหรือรัฐสภาหรือกฎหมายที่ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติ เช่น พระราชกำหนดที่ได้รับการพิจารณาอนุมัติจากรัฐสภาแล้ว เป็นต้น
๒) การพิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติแห่งกฎหมายตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นผู้เสนอ (รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๒๔๕)
การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญโดยผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นผู้เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๔๕ ไม่จำเป็นต้องเป็นคดีในศาลก่อนเหมือนกับกรณีตาม ๑) การเสนอเรื่องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยหลักการแล้วเป็นกรณีที่มีผู้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินก่อน เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีผลกระทบต่อความเสียหายของประชาชนส่วนรวม หรือเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจพิจารณาและเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการร้องเรียน สำหรับบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณานั้น มีความหมายเดียวกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายตาม ๑) ซึ่งหมายถึง กฎหมายในระดับพระราชบัญญัติซึ่งตราขึ้นโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติหรือรัฐสภา หรือกฎหมายที่ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติ เช่น พระราชกำหนดที่ได้รับการพิจารณาอนุมัติจากรัฐสภาแล้ว เป็นต้น
๓) การพิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติแห่งกฎหมายตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นผู้เสนอ (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๕๗)
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่บัญญัติให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ในการเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญสำหรับบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณานั้น มีความหมายเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวมาแล้วตาม ๑) และ ๒) กล่าวคือเป็นกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติซึ่งตราขึ้นโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติหรือรัฐสภา หรือกฎหมายที่ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติ เช่น พระราชกำหนดที่ได้รับการพิจารณาอนุมัติจากรัฐสภาแล้ว เป็นต้น
๔) การพิจารณาวินิจฉัยคำร้องของบุคคลซึ่ง ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๑๒)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่บัญญัติให้บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่ง กฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอ่นื ได้แล้ว สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำร้องให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ดี ในระหว่างที่ยังไม่ได้มีการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมาใช้บังคับ รัฐธรรมนูญได้กำหนดบทเฉพาะกาลให้ศาลรัฐธรรมนูญออกเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยได้ แต่ทั้งนี้ต้องตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐
ปัจจุบันศาลรัฐธรรมนูญได้ออก “ข้อกำหนด ฯ” มาใช้บังคับแล้ว ซึ่งตามข้อกำหนด ฯ ข้อ ๒๑ และข้อ ๒๒ บัญญัติว่า
"ข้อที่ ๒๑ บุคคลที่ ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้
การใช้สิทธิตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นไกรณีที่ไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้วทั้งนี้ตามมาตรา ๒๑๑ มาตรา ๒๔๕ (๑) และมาตรา ๒๕๗ วรรคหนึ่ง (๒) ของรัฐธรรมนูญ"
”ข้อ ๒๒ การยื่นคำร้องของบุคคลตามข้อ ๒๑ นอกจากต้องดำเนินการตามข้อ ๑๘ แล้ว ให้ระบุเหตุที่ไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้วด้วย”
ผู้ที่จะใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังนี้
(๑) ต้องเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้อันสืบเนื่องมาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
(๒) บุคคลนั้นต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และ
(๓) ต้องเป็นกรณีที่บุคคลนั้นไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้วการใช้สิทธิของบุคคลในการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้ว หมายความว่า หากบุคคลใดสามารถใช้สิทธิทางศาลตาม ๑)หรือสามารถใช้สิทธิโดยการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินตาม ๒) หรือสามารถใช้สิทธิโดยการร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตาม ๓) ได้ บุคคลนั้นจะต้องใช้สิทธิตามช่องทางนั้นก่อนนอกจากว่าไม่สามารถใช้สิทธิตามช่องทางนั้นได้แล้ว จึงจะมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
การใช้สิทธิของบุคคลในการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้ว หมายความว่า หากบุคคลใดสามารถใช้สิทธิทางศาลตาม ๑) หรือสามารถใช้สิทธิโดยการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินตาม ๒) หรือสามารถใช้สิทธิโดยการร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตาม ๓) ได้ บุคคลนั้นจะต้องใช้สิทธิตามช่องทางนั้นก่อนนอกจากว่าไม่สามารถใช้สิทธิตามช่องทางนั้นได้แล้ว จึงจะมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
<b>ข้อ ๓. ให้นักศึกษาตอบคำถามสองข้อย่อยต่อไปนี้
ข้อ ๓.๑ การที่มีข่าวทางสื่อมวลชนทีนิวส์ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ ว่า “ประธานคณะกรรมการประสานงานร่วมพรรคฝ่ายค้าน หรือ วิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการตั้งกระทู้ถามสดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสัปดาห์นี้ว่า มีเรื่องที่เข้าข่ายอยู่ในกระทู้ถามสด ๒ เรื่อง คือ เรื่องแรกคือกรณีน้ำท่วม ที่ยังเป็นปัญหาใหญ่ โดยจะถามถึงความคืบหน้าในการป้องกันและแก้ไข หลังรัฐบาลยืนยันว่าปีนี้น้ำไม่ท่วมว่าเชื่อถือได้มากเพียงใด ใช้งบประมาณจำนวนเท่าไหร่ รวมทั้งปัญหาการเยียวยาที่ยังค้างจากปีที่แล้ว และงบประมาณการดำเนินงานสามารถเปิดเผยได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาพบการทุจริตกว่าร้อยละ 35 ของงบประมาณ สำหรับกระทู้ถามสดกรณีการกำกับดูแลตำรวจของรัฐบาล เนื่องจาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ระดมตำรวจไปที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งอาจจะเข้าข่ายข่มขู่คุกคามพรรคการเมือง สืบเนื่องจากกรณีที่ นายราเมศ รัตนเชวง ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ส่งหนังสือร้องเรียนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่ามีการติดภาพถ่ายของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ขณะให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประดับยศพล.ต.ท.ให้ ทั้งนี้มองว่าอาจเป็นการผิดวินัยร้ายแรง เนื่องจากแทนที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ จะไปชี้แจงกับ ผบ.ตร. แต่กลับนำตำรวจมาบุกพรรคประชาธิปัตย์” การตั้งกระทู้ถามสด เป็นการทำหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรอันมีความเกี่ยวข้องกับหลักการถ่วงดุลอำนาจ (Check and balance) ตามแนวคิดของมองเตสกิเออร์(Montesquieu) อย่างไร จงอธิบาย มาให้เข้าใจ (๑๒.๕ คะแนน)
</b><b>แนวคำตอบ
</b>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้กำหนดให้รัฐสภาประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยรัฐสภาเป็นตัวแทนของประชาชนชาวไทย กล่าวคือ ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างฝ่ายต่างมาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งสิ้น แต่อาจจะด้วยวิธีการและจำนวนที่แตกต่างกันออกไป โดยหลักการใหญ่ ๆ รัฐสภามีหน้าที่พิจารณาออกกฎหมายบังคับให้แก่ประชาชนตามขั้นตอนที่รัฐธรรมนูญกำหนด กฎหมายที่จะออกมาจากรัฐสภาต้องผ่านความเห็นชอบทั้งจากสภาผู้แทนราษฎรและจากวุฒิสภา จึงจะนำขึ้นทูลเกล้า ฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ดังนั้น อำนาจหน้าที่ของรัฐสภาของไทยในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจึงมีอำนาจหน้าที่ ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลตามที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา รวมทั้งตรวจสอบติดตามผลการปฏิบัติงานของรัฐบาลโดยบัญญัติไว้ในส่วนที่ ๙ ว่าด้วยการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ดังนี้
มาตรา ๑๕๖ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาทุกคนมีสิทธิตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีในเรื่องใดเกี่ยวกับงานในหน้าที่ได้ แต่รัฐมนตรีย่อมมีสิทธิที่จะไม่ตอบเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเรื่องนั้นยังไม่ควรเปิดเผยเพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน
มาตรา ๑๕๗ การบริหารราชการแผ่นดินเรื่องใดที่เป็นปัญหาสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เป็นเรื่องที่กระทบถึงประโยชน์ของประเทศชาติหรือประชาชน หรือที่เป็นเรื่องเร่งด่วน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาจแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรก่อนเริ่มประชุมในวันนั้นว่าจะถามนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินเรื่องนั้นโดยไม่ต้องระบุคำถาม และให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรบรรจุเรื่องดังกล่าวไว้ในวาระการประชุมวันนั้น
การถามและการตอบกระทู้ตามวรรคหนึ่งให้กระทำได้สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง และให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นตั้งกระทู้ถามด้วยวาจาเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินนั้นได้เรื่องละไม่เกินสามครั้ง ทั้งนี้ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
นอกจากนั้น ในส่วนของวุฒิสภาอันมีสมาชิกวุฒิสภาเป็นสมาชิก นอกจากจะมีหน้าที่ในการกลั่นกรองกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว วุฒิสภายังมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อแต่งตั้งและถอดถอนบุคคลหรือองค์กรอิสระตามที่รัฐธรรมบัญญัติไว้อีกด้วย เช่น ถอดถอนนายกรัฐมนตรี นักการเมือง เป็นต้น ดังนั้นการตั้งกระทู้ถามสดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรตามประเด็นในคำถามจึงเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นไปตามหลักการถ่วงดุลอำนาจ(check and balance) ของมองเตสกิเออร์มองเตสกิเออ (Montesquieu) นักคิดนักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส ผู้ให้กำเนิดแนวคิดในการแบ่งแยกอำนาจปกครองสูงสุดหรืออำนาจอธิปไตยออกเป็น ๓ ฝ่าย โดยพิจารณาในแง่ขององค์กรผู้ใช้อำนาจออกเป็นอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ ตามแนวคิดของอริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์การเมืองชาวกรีกโบราณ บนพื้นฐานหรือมีเป้าประสงค์ประการสำคัญแหล่งหลักการคือการให้อำนาจแต่ละฝ่ายถ่วงดุลและตรวจสอบซึ่งกันและกันทั้งสามฝ่าย และเพื่อประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้ปลอดจากการใช้อำนาจโดยมิชอบขององค์กรภาครัฐที่ใช้อำนาจหนึ่งอำนาจใดที่อาจละเมิดลิดรอนโดยอำนาจรัฐไม่ว่าฝ่ายใด
การถ่วงดุลอำนาจ ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การแบ่งแยกอำนาจมิได้หมายความว่า องค์กรผู้ใช้อำนาจทั้งสาม คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการจะต้องมีอำนาจเท่าเทียมกัน โดยอำนาจใดอำนาจหนึ่งอาจอยู่เหนืออีกอำนาจหนึ่งได้และอีกฝ่ายหนึ่งก็มีขั้นตอนในการลดอำนาจของอีกฝ่ายตามที่รัฐธรรมนูญได้ให้ไว้ อาจกล่าวได้ว่า การถ่วงดุลอำนาจมักเป็นเรื่องของอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหาร โดยในที่นี้จะขอยกตัวอย่าง การถ่วงดุลอำนาจระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหาร ดังนี้
1. กรณีฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจเหนือฝ่ายบริหาร
ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจเหนือฝ่ายบริหาร หมายถึง อำนาจที่สภาผู้แทนราษฏรเปิดประชุมเพื่ออภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อรัฐบาลบริหารประเทศเกิดความผิดพลาดเสียหาย หรือมีการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเมื่อมีการลงมติภายหลังการอภิปราย หากรัฐบาลได้รับเสียงสนับสนุนหรือไว้วางใจน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขณะนั้น ก็จะมีผลให้รัฐบาลต้องลาออก เพื่อให้มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ โดยผลของการเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล อาจจะเป็นการไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวก็มีผลถึงคณะรัฐมนตรีร่วมคณะทุกคน ต้องพ้นความเป็นรัฐมนตรี แต่หากเป็นการเปิดอภิปรายเฉพาะรัฐมนตรีบางคน รัฐมนตรีคนที่ได้รับเสียงไม่ไว้วางใจเกินกึ่งหนึ่งก็จะพ้นจากการเป็นรัฐมนตรีเฉพาะราย ส่วนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ที่ไม่ถูกอภิปรายก็ยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อไป คณะรัฐมนตรีมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีหนึ่งคนและรัฐมนตรีอีกไม่เกิน 35 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งขึ้น โดยนายกรัฐมนตรี ต้องแต่งตั้งมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
2. กรณีฝ่ายบริหารมีอำนาจสูงสุดเหนือฝ่ายนิติบัญญํติ
กรณีฝ่ายบริหารมีอำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติ หมายถึง การใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรีอันมีนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรี มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ อันมีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดต้องพ้นสภาพ ซึ่งมักจะเกิดจากสภาผู้แทนราษฎรเกิดความวุ่นวาย หรือเกิดวิกฤติจนไม่สามารถควบคุมได้ หรือร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลไม่ได้รับความเห็นชอบ เช่น พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นต้น
จึงเห็นได้ว่า ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต่างมีอำนาจที่จะถ่วงดุลซึ่งกันและกันให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
ส่วนฝ่ายตุลาการเป็นอำนาจที่เป็นอิสระเฉพาะ เนื่องจากการพิจารณาคดีความต่าง ๆ ย่อมต้องเป็นกลางและเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ภายใต้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ จึงอาจกล่าวได้ว่าฝ่ายตุลาการเป็นฝ่ายที่มิได้มีการถ่วงดุลหรือคานอำนาจกับฝ่ายใด
กล่าวโดยสรุปได้ว่า อำนาจอธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ อำนาจทั้งสามฝ่ายจะมีการถ่วงดุลกันอยู่ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจจนเกินขอบเขต
ข้อ ๓.๒ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้บัญญัติวิธีการและขั้นตอนตั้งแต่การเสนอร่างกฎหมายจนกระทั่งประกาศใช้กฎหมาย เอาไว้ มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง(๑๒.๕ คะแนน)
แนวคำตอบ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้บัญญัติวิธีการและขั้นตอนตั้งแต่การเสนอร่างกฎหมายจนกระทั่งประกาศใช้กฎหมาย เอาไว้ดังนี้
ขั้นตอนที่ ๑ ขั้นตอนเสนอร่างกฎหมาย รัฐธรรมนูญได้กำหนดผู้มีสิทธิริเริ่มเสนอร่างกฎหมาย ดังนี้
ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญผู้มีสิทธิเสนอได้ คือ
(๑) คณะรัฐมนตรี
(๒) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๑๐ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๑๐ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือ
(๓) ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา หรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งประธานศาลหรือ ประธานองค์กรนั้นเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น
ร่างพระราชบัญญัติ ผู้มีสิทธิเสนอได้คือ
พระราชบัญญัติเป็นกฎหมายซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้น โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ผู้มีอำนาจในการเสนอร่างพระราชบัญญัติมีด้วยกันทั้งสิ้น 4 ฝ่าย ได้แก่
(๑) คณะรัฐมนตรี
(๒) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า ๒๐ คน
(๓) ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดองค์กร และกฎหมายที่ประธานศาลและประธานองค์กรนั้นเป็นผู้รักษาการ หรือ
(๔) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ คน เข้าชื่อเสนอกฎหมายที่กำหนดในหมวดสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยและหมวดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
การเสนอร่างพระราชบัญญัติของคณะรัฐมนตรี เริ่มตั้งแต่กระบวนจัดทำร่างพระราชบัญญัติจากส่วนราชการ กระทรวง กรม หรือหน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องนั้นๆ เป็นผู้จัดทำ โดยหน่วยราชการอาจใช้ข้าราชการหรือนิติกรภายในหน่วยงานเป็นผู้ร่าง หรืออาจว่าจ้างนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญให้จัดทำโครงการศึกษาวิจัยและมอบหมายให้ผู้วิจัยทำหน้าที่ยกร่างกฎหมายขึ้นด้วยก็ได้ หรือในบางกรณีฝ่ายการเมืองอาจเป็นผู้ริเริ่มให้มีร่างพระราชบัญญัติใหม่หรือร่างพระราชบัญญัติที่แก้ไขกฎหมายเดิม เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ร่างกฎหมายเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องในทางนโยบายการบริหารประเทศ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการของร่างพระราชบัญญัติแล้ว ก็จะส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางด้านการร่างกฎหมายของรัฐบาลเป็นผู้ตรวจพิจารณา คณะกรรมการกฤษฎีกาแบ่งแยกออกเป็นกรรมการร่างกฎหมายต่างๆ จำนวน 12 คณะ แต่ละคณะประกอบด้วยกรรมการร่างกฎหมายจำนวนประมาณ 9 คน การประชุมแบ่งออกเป็น ๓ วาระ ได้แก่
วาระที่ ๑ การพิจารณาหลักการทั่วไปและสาระสำคัญของกฎหมาย
วาระที่ ๒ เป็นการตรวจพิจารณารายมาตรา โดยจะเป็นการตรวจพิจารณาทั้งในแง่เนื้อหากฎหมาย (content) แบบของกฎหมาย (format) รวมถึงถ้อยคำที่ใช้
วาระที่ ๓ เป็นการตรวจพิจารณาความสมบูรณ์ของร่างพระราชบัญญัติทั้งฉบับ
เมื่อพิจารณาเสร็จแล้ว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะส่งร่างกฎหมายกลับไปที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ถ้าร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการตรวจพิจารณานั้นมีการแก้ไขเล็กน้อยหรือเป็นการแก้ไขตามแบบการร่างกฎหมายสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) และสภาผู้แทนราษฎรต่อไปตามลำดับในระเบียบวาระ ยกเว้นในกรณีที่คณะรัฐมนตรีร้องขอไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ สภาพิจารณาร่างกฎหมายนั้นเป็นเรื่องด่วนซึ่งจะได้รับการพิจารณาก่อน
นอกจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ผู้ที่จะเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวด้วยการเงินจะต้องมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี จึงจะเสนอได้ ร่างกฎหมายที่เกี่ยวด้วยการเงินบางฉบับคือ ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดินนั้น ในทางปฏิบัติคณะรัฐมนตรีจะที่เป็นผู้เสนอ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นฝ่ายบริหารจะรู้สภาพการเงินของประเทศ รายรับ รายจ่ายต่าง ๆ เป็นอย่างดี
ร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวด้วยการเงินนั้น หมายความถึง ร่างพระราชบัญญัติที่ว่าด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คือ การตั้งขึ้น หรือยกเลิก หรือลด หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือผ่อน หรือวางระเบียบการบังคับอันเกี่ยวกับภาษีหรืออากร การจัดสรร รับ รักษา หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือการโดนงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน หรือการกู้เงิน การค้ำประกัน การใช้เงินกู้ หรือการดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐ หรือเงินตรา
ขั้นตอนที่ ๒ การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรการ จะพิจารณาจะแบ่งเป็น ๓ วาระตามลำดับ ได้แก่
วาระที่ ๑ ขั้นรับหลักการ
ในวาระที่ ๑ จะเป็นการพิจารณาว่าจะรับหลักการแห่งร่างกฎหมายนั้นหรือไม่ โดยให้ผู้เสนอร่างกฎหมายอภิปรายชี้แจงหลักการและเหตุผลต่อสภาผู้แทนราษฎร กรณีเป็นร่างพระราชบัญญัติของคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงซึ่งรับผิดชอบร่างพระราชบัญญัติจะเป็นผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติในนามคณะรัฐมนตรี จากนั้นจึงเปิดให้มีการอภิปรายคัดค้านหรือสนับสนุนโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อการอภิปรายสิ้นลงสุดแล้วที่ประชุมจะลงมติว่าจะรับหลักการแห่งร่างกฎหมายฉบับนั้นหรือไม่ ถ้าที่ประชุมมติรับหลักการก็จะเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ ๒ แต่ถ้าไม่รับหลักการ ร่างกฎหมายนั้นก็เป็นอันตกไป
วาระที่ ๒ ขั้นการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการและการพิจารณารายมาตรา
การพิจารณาในวาระที่ ๒ สามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ขั้นตอน คือ การพิจารณาของคณะกรรมาธิการ และการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรภายหลังจากที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว
ในขั้นตอนแรก คือการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการ โดยมากจะเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและบุคคลภายนอกก็ได้ กรรมาธิการแต่ละคนอาจเพิ่มมาตราขึ้นใหมหรือตัดทอนหรือแกไขมาตราเดิมได แตตองไมขัดกับหลักการแห่งรางพระราชบัญญัตินั้น หากที่ประชุมคณะกรรมาธิการนั้นเห็นด้วยก็จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมไปตามนั้น แต่ถ้าคณะกรรมาธิการส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย และกรรมาธิการผู้นั้นยืนยันที่จะขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติม กรรมาธิการผู้นั้นก็มีสิทธิ “ขอสงวนความเห็น” ของตนไว้เพื่ออภิปรายในที่ประชุมสภาให้ที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด เมื่อคณะกรรมาธิการได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นโดยแสดงร่างเดิมและร่างที่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมทั้งรายงานต่อประธานสภา
ขั้นตอนที่สอง คือการพิจารณารายมาตราในที่ประชุมใหญ่ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นอีกครั้ง ในการพิจารณานี้จะเป็นการพิจารณารายมาตราไปจนจบ ถ้ามีมาตราใดแก้ไขเพิ่มเติม หรือมีผู้สงวนคำแปรญัตติ หรือกรรมาธิการสงวนความเห็นไว้ ก็จะหยุดการพิจารณาไว้ก่อน และเปิดโอกาสให้สมาชิกได้อภิปรายเฉพาะในมาตรานั้นๆเท่านั้น หลังจากนั้นสภาจะพิจารณาทั้งร่างเป็นการสรุปอีกครั้งหนึ่ง
วาระที่ ๓ ขั้นลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างกฎหมาย
ในขั้นตอนนี้ที่ประชุมสภาจะลงมติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างกฎหมาย โดยจะไม่มีการอภิปรายใดๆ อีก หากลงมติเห็นชอบก็จะส่งให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป แต่ถ้าผลการลงมติไม่เห็นชอบร่างกฎหมายก็จะตกไป
ในลำดับถัดมา สภาผู้แทนราษฎรจะเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อวุฒิสภา วุฒิสภาจะมีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองร่างกฎหมายอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวุฒิสภาได้รับร่างนั้นแล้ว ก็จะดำเนินการโดยการแบ่งเป็น ๓ วาระเช่นเดียวกับการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎร
ขั้นตอนที่ ๓ การพิจารณาของวุฒิสภา
ขั้นตอนหรือกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายของวุฒิสภามีลักษณะทำนองเดียวกับของสภาผู้แทนราษฎร แต่ที่แตกต่างก็คือ วุฒิสภาต้องพิจารณาร่างกฎหมายสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบแล้ว ให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด กล่าวคือ ถ้าเป็นร่างกฎหมายทั่วไปต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จ ภายใน ๖๐วัน แต่ถ้าร่างกฎหมายนั้นเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวด้วยการเงิน วุฒิสภาต้องพิจารณา ให้เสร็จภายใน ๓๐ วัน ทั้งนี้ เว้นแต่วุฒิสภาจะได้ลงมติให้ขยายเวลาออกไปเป็นกรณีพิเศษซึ่งต้อง ไม่เกิน ๓๐ วัน (กำหนดวันดังกล่าวให้หมายถึงวันในสมัยประชุม และให้เริ่มนับแต่วันที่ร่างกฎหมายนั้นมาถึงวุฒิสภา) ถ้าวุฒิสภาพิจารณาไม่เสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบในร่างกฎหมายนั้น แต่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไม่มีกำหนดเวลาใด ๆ ส่วนกระบวนการหรือขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภานั้นข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้กำหนดไว้มีลักษณะทำนองเดียวกับของสภาผู้แทนราษฎรที่ได้กล่าวมาแล้ว กล่าวคือ โดยปกติวุฒิสภาจะพิจารณาร่างกฎหมายเป็น ๓ วาระ
วาระที่ ๑ ขั้นรับหลักการหรือเห็นชอบด้วยกับหลักการ
การพิจารณาในวาระที่ ๑ นี้ วุฒิสภาจะพิจารณาและลงมติว่าจะรับร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้พิจารณา หรือไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร หากวุฒิสภาไม่เห็นชอบด้วย ก็ให้ยับยั้งร่างกฎหมายนั้นไว้ก่อน และส่งร่างกฎหมายนั้นคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร หากวุฒิสภามีมติรับร่างพระราชบัญญัติไว้พิจารณา วุฒิสภาก็จะพิจารณาในลำดับต่อไปเป็นวาระที่สอง
วาระที่ ๒ เป็นการพิจารณารายละเอียดเรียงลำดับมาตรา
การพิจารณาในวาระที่สอง วุฒิสภาจะพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการที่วุฒิสภาตั้ง หรือกรรมาธิการเต็มสภาซึ่งโดยปกติจะพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการที่วุฒิสภาตั้ง การพิจารณาโดยกรรมาธิการเต็มสภาจะกระทำได้ต่อเมื่อสมาชิกเสนอญัตติโดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่าสิบคน และที่ประชุมวุฒิสภาอนุมัติ
ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยกรรมาธิการเต็มสภานั้น วุฒิสภาจะตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาปัญหาใดโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัตินั้นก็ได้
เมื่อพิจารณาเรียงลำดับมาตราจนจบร่างฯ นั้นแล้ว วุฒิสภาจะพิจารณาทั้งร่างเป็นการสรุปอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เกิดความถูกต้องสมบูรณ์โดยสมาชิกอาจขอแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำได้ แต่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อความใดไม่ได้ นอกจากเนื้อความที่ยังเห็นว่าขัดแย้งกันอยู่ จากนั้นก็จะเป็นการพิจารณาในวาระที่ ๓
วาระที่ ๓ ขั้นลงมติให้ความเห็นชอบ
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในวาระที่สามนี้ไม่มีการอภิปราย วุฒิสภาจะลงมติว่าเห็นชอบด้วยหรือไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร หรือถ้าในการพิจารณาในวาระที่สองได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมายนั้น วุฒิสภาก็จะลงมติว่าให้แก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมติให้แก้ไขเพิ่มเติมหมายความว่าให้แก้ไขเพิ่มเติมตามที่ได้พิจารณาไว้ในวาระที่สอง และมติไม่แก้ไขเพิ่มเติมหมายความว่าวุฒิสภาเห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎรโดยไม่มีการ แก้ไขเพิ่มเติม
เมื่อวุฒิสภามีมติเห็นชอบด้วยหรือไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร หรือให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติให้ประธานวุฒิสภาแจ้งให้สภาผู้แทนราษฎรทราบ หากวุฒิสภาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ ก่อนที่จะส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปยังสภาผู้แทนราษฎร หากมีข้อความผิดพลาดซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา วุฒิสภาอาจนำร่างพระราชบัญญัตินั้นกลับมาทบทวนข้อผิดพลาดนั้นได้ หากที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเห็นชอบ โดยให้กระทำได้เท่าที่จำเป็นและให้กระทำโดยกรรมาธิการเต็มสภา
ในกรณีที่วุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ และเมื่อทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาได้ตั้งกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาเสร็จแล้ว ให้เสนอให้แต่ละสภาพิจารณา เมื่อกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาเสร็จแล้ว ให้รายงานและเสนอร่างกฎหมายนั้นต่อสภาทั้งสองเพื่อพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการร่วมกันได้พิจารณาแล้ว
ถ้าสภาทั้งสองต่างเห็นชอบด้วยร่างกฎหมายที่คณะกรรมาธิการ ร่วมกันได้พิจารณาแล้ว ให้ดำเนินการเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป แต่ถ้าสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบด้วย ก็ถือว่า “ ยับยั้ง ” ร่างกฎหมายไว้ก่อน เพื่อรอเวลาในการยกขึ้นมาพิจารณา
<b>ข้อ ๔. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้อย่างไร ให้อธิบาย (๒๕ คะแนน)
แนวคำตอบ
</b>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐หมวด ๑๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๑ ว่า “การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้กระทำได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้
(๑) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวน ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิก ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ของทั้งสองสภา หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่า ด้วย การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะเสนอมิได้
(๒) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมและให้รัฐสภา พิจารณาเป็นสามวาระ
(๓) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนน โดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
(๔) การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ต้องจัดให้มีการรับฟัง ความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมด้วย
การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ให้ถือเอา เสียงข้างมากเป็นประมาณ
(๕) เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้ว ให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สามต่อไป
(๖) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนน โดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่า กึ่งหนึ่ง ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
(๗) เมื่อการลงมติได้เป็นไปตามที่กล่าวแล้ว ให้นำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๕๐ และมาตรา ๑๕๑ มาใช้บังคับ โดยอนุโลม
เงื่อนไขในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญคือ
๑. รัฐธรรมนูญ พุทธศักราช ๒๕๕๐ บัญญัติในมาตรา 68 บัญญัติว่า "บุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้มิได้"
๒. ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะเสนอมิได้
***************************************************************
บทพิสูจน์ความแกร่ง แห่งเพชรแท้ ความแน่วแน่ที่จะไป...ให้ถึงฝัน
จะย่อท้อหวั่นไหว ทำไมกัน หวังและวันแห่งเส้นชัย...ไม่ไกลเกิน
**********************************************
<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-88824224468056769582012-10-01T22:49:00.001-07:002012-10-01T22:50:54.722-07:00แนวคำตอบข้อสอบปลายภาค ๑/๒๕๕๕<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-Ocmb7ZDmGlU/UGp_vtqY3FI/AAAAAAAADnY/dVZu84VzBjk/s1600/%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%259E%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2587.jpg" imageanchor="1" style="margin-left:1em; margin-right:1em"><img border="0" height="242" width="208" src="http://3.bp.blogspot.com/-Ocmb7ZDmGlU/UGp_vtqY3FI/AAAAAAAADnY/dVZu84VzBjk/s320/%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%259E%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2587.jpg" /></a></div>
แนวคำตอบข้อสอบปลายภาค
วิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทย รหัส ๒๕๖๑๑๐๑ ๓ (๓-๐)
คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
ผู้ออกข้อสอบ อาจารย์โกศล บุญคง
ผศ.สมนึก ขวัญเมือง
คำสั่ง ข้อสอบทั้งหมดมี ๔ ข้อ ให้นักศึกษาทำข้อสอบทุกข้อ คะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน สอบวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๕ เวลา ๑๓.๐๐-๑๖.๐๐ น.
******************************************************
ข้อ ๑. ระบบกฎหมายหลักของโลกในโลกนี้มีระบบกฎหมายที่ใช้กันอยู่หลายระบบด้วยกัน แต่ที่สำคัญที่นักศึกษาเล่าเรียนมามีเพียงสองระบบ คือระบบใดบ้าง จงอธิบายถึงลักษณะสำคัญ ( ๒๕ คะแนน)
<b>แนวคำตอบ
</b> ในการที่มนุษย์มาอยู่รวมกันจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อกำหนดความประพฤติของมนุษย์เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม กฎเกณฑ์นี้เองเรียกว่า “กฎหมาย” กฎหมายที่ใช้อยู่ในแต่ละสังคมย่อมแตกต่างกันไปตามพัฒนาการของแต่ละสังคม ดังนั้นเพื่อเป็นพื้นฐานในการอยู่รวมกันในสังคมโลกจึงจำเป็นที่ต้องควรทราบถึงพัฒนาการของระบบกฎหมายที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันสามารถแบ่งระบบกฎหมายออกได้เป็น ๔ ระบบ ดังนี้คือ
๑. ระบบกฎหมายโรมาโน – เยอรมันนิค (Romano Germanic Law)
๒. ระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์ (Common Law)
๓. ระบบกฎหมายสังคมนิยม (Socialist Law)
๔. ระบบกฎหมายศาสนาและประเพณีนิยม (Religious and Traditional Law)
ตามประเด็นปัญหาในคำถามจึงจะกล่าวถึงเพียงสองระบบที่สำคัญตามที่ได้ศึกษามากล่าวคือ
๑. ระบบกฎหมายโรมาโน – เยอรมันนิค (Romano Germanic Law)
คำว่า “โรมาโน” หมายถึง กรุงโรม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลี ส่วนคำว่า “เยอรมันนิค” หมายถึง ชาวเยอรมัน การที่ตั้งชื่อระบบกฎหมายเช่นนี้ก็เพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศอิตาลีและประเทศเยอรมัน เนื่องจาก อิตาลีเป็นประเทศแรกที่รื้อฟื้นกฎหมายโรมันในอดีตขึ้นมาปรับใช้กับประเทศของตน โดยเมื่อประมาณปี ค.ศ. ๑๑๑๐ประเทศอิตาลีเริ่มมีการพัฒนาประเทศทำให้มีการค้าขายมากขึ้น มีการค้าขายระหว่างประเทศ ระบบเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองขึ้น กฎหมายในประเทศซึ่งมีอยู่เดิมใช้บังคับไม่เพียงพอที่จะนำมาปรับใช้บังคับกับข้อเท็จจริงในระบบเศรษฐกิจที่มีความยุ่งยากซับซ้อน จึงได้มีการฟื้นฟูกฎหมายโรมันขึ้นมาใช้ โดยมีการนำมาศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจังในมหาวิทยาลัยที่เมืองโบลอกนา (Bologna) ปรากฏว่ากฎหมายโรมันมีบทบัญญัติที่สามารถใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่มีความยุ่งยากซับซ้อนได้ และเห็นว่ากฎหมายโรมันใช้ได้และเป็นธรรม ประเทศอิตาลีจึงได้รับเอากฎหมายโรมันมาบัญญัติใช้บังคับในเวลาต่อมาและกฎหมายโรมันจึงได้ถูกถ่ายทอดให้แก่นักศึกษาทั่วไป
ประเทศเยอรมันเป็นประเทศที่สองที่ได้รับเอากฎหมายโรมันมาใช้เช่นเดียวกันกับประเทศอิตาลี ต่อมาประเทศต่าง ๆ ในยุโรป อาทิ ฝรั่งเศส โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ สเปน ได้นำกฎหมายโรมันมาปรับใช้กับประเทศของตนเช่นเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าระบบกฎหมายโรมาโน-เยอรมันนิคนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศในภาคพื้นยุโรป แต่ปัจจุบันระบบกฎหมายนี้มีอิทธิพลแผ่ขยายไปทั่วโลกในทวีปต่างๆ ไม่ว่าทวีปอเมริกาใต้ เช่น บราซิล เพราะเคยอยู่ภายใต้การปกครองของโปรตุเกส หรือเม็กซิโก ชิลี เปรู อาร์เจนตินา ที่เคยเป็นอาณานิคมของสเปน แม้กระทั่งประเทศในทวีปแอฟริกา เช่น ซาอีร์ โซมาเลีย รวันดา ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสก็ได้รับอิทธิพลของระบบกฎหมายโรมาโน-เยอรมันนิคทั้งสิ้น และประเทศแถบเอเชียบางประเทศ เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น รวมทั้งประเทศไทยด้วย
ลักษณะเฉพาะที่สำคัญของระบบกฎหมายโรมาโน – เยอรมันนิค คือ
-กฎหมายระบบนี้ถือว่ากฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรมีความสำคัญกว่าคำพิพากษาของศาล และจารีต
ประเพณี
-กฎหมายระบบนี้ คำพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมาย แต่เป็นเพียงบรรทัดฐานแบบอย่างของ
การตีความหรือการใช้กฎหมายของศาลเท่านั้น
-การศึกษากฎหมาย ต้องเริ่มต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ จะถือเอาคำพิพากษาศาล หรือความเห็น
ของนักกฎหมายเป็นหลักเช่นเดียวกับหลักกฎหมายไม่ได้
-กฎหมายระบบนี้มีการแบ่งแยกกฎหมายออกเป็น ๒ สาย คือ กฎหมายเอกชนซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนด
ความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกันเอง เช่น กฎหมายแพ่ง กฎหมายพาณิชย์ กฎหมายเกษตร เป็นต้น และกฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครองของรัฐ เช่น กฎหมายปกครอง กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายภาษีอากร เป็นต้น
ระบบกฎหมายโรมาโน – เยอรมานิค (Romano Germanic) นี้ บางตำราเรียกว่า ระบบประมวล
กฎหมาย หรือ ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ (Civil Law)
๒ . ระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์ (Common Law)
ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์นั้นมีต้นแบบมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเดิมก่อนศตวรรษที่ ๑๑ ประเทศอังกฤษยังไม่เป็นปึกแผ่นโดยแบ่งการปกครองเป็นตามแคว้นหรือเผ่าของตนเอง มีระบบกฎหมายและระบบศาลตามเผ่าของตนเองไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ต่อมาประมาณศตวรรษที่ ๑๐-๑๕ พระเจ้าวิลเลี่ยม ดยุคแห่งแคว้นนอร์มังดีของฝรั่งเศสได้ยกกองทัพเข้ายึดครองเกาะอังกฤษหลังจากการสู้รบกันระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส โดยผลัดกันยกกองทัพไปรบ การรบครั้งแรกก็ไม่ได้ชัยชนะ ต่อมาก็บุกเข้าไปยึดครองอังกฤษได้ เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ในอังกฤษยอมสวามิภักดิ์และยอมอยู่ภายใต้อำนาจของพระเจ้าวิลเลี่ยมหรือดยุคแห่งนอร์มังดี นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการรวบรวมและปกครองเกาะอังกฤษให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้การนำของดยุคแห่งนอร์มังดี อังกฤษจึงเป็นปึกแผ่นครั้งแรกตามประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตามการปกครองในครั้งนั้นพระเจ้าวิลเลี่ยมมิได้เลิกอำนาจของหัวหน้าเผ่าหรือนำวัฒนธรรม อารยธรรมของนอร์มังดีเข้าไปใช้ในเกาะอังกฤษ แต่ใช้ระบบศักดินาสวามิภักดิ์ของยุโรปภาคพื้นทวีปผสมผสานไปกับระบบที่เป็นอยู่ของเผ่าต่าง ๆ บนเกาะอังกฤษโดยทรงถือว่าพระองค์เป็นเจ้าของราชอาณาจักรเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วแบ่งดินแดนต่าง ๆ ให้กับขุนนางและยอมรับเจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ของอังกฤษที่ยอมเข้าสวามิภักดิ์เป็นขุนนางของพระองค์ ดังนั้นระบบศักดินาสวามิภักดิ์จึงเข้าไปฝังรากในอังกฤษด้วยพระเจ้าวิลเลี่ยมเป็นกษัตริย์ มีขุนนางปกครองแคว้นต่าง ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ไปจากแคว้นนอร์มังดี เป็นการตอบแทนที่ทำสงครามชนะ อีกส่วนหนึ่งก็คือบรรดาหัวหน้าเผ่าที่ยอมสวามิภักดิ์ การใช้กฎหมายต่าง ๆ ใช้กฎหมายชนเผ่าต่อไปตามเดิม
ต่อมาพระเจ้าวิลเลี่ยมเห็นความจำเป็นว่าถ้าจะทำให้การปกครองเป็นเอกภาพเป็นปึกแผ่นและอำนาจของพระองค์เข้มแข็ง จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีกฎหมายที่เหมือนกันใช้ร่วมกันทั้งประเทศหรือทั่วทั้งราชอาณาจักร ถ้าปล่อยให้แต่ละแคว้นมีระบบกฎหมาย ระบบการบริหาร ระบบตัดสินคดีความของตัวเองแตกต่างกันไปหมด การที่จะทำให้เกิดความเป็นเอกภาพ ความเป็นปึกแผ่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้ การที่จะทำให้สังคมชาติมีความเป็นปึกแผ่น มีความเป็นรัฐที่มีการจัดระเบียบที่ดีจะต้องทำอยู่ ๒ อย่าง คือ การจัดระบบกฎหมายเสียใหม่ทั้งรัฐให้เหมือนกัน และจัดระบบการปกครองที่ทำให้อำนาจนั้นมีเอกภาพ ดังนั้น พระเจ้าวิลเลี่ยม จึงจัดตั้งศาลพระมหากษัตริย์หรือศาลหลวง (King’s Court) ขึ้น
กฎหมายคอมมอน ลอว์ (Common Law) เป็นกฎหมายที่วิวัฒนาการมาจากคำพิพากษาของศาลพระมหากษัตริย์หรือศาลหลวง (King’s Court) อันเนื่องมาจากเดิมการพิจารณาคดีของศาลในแคว้นต่างๆ มีการพิจารณาคดีตามจารีตประเพณีของแคว้นหรือชนเผ่าตนเอง ทำให้เกิดปัญหาเมื่อมีการกระทำความผิดหรือมีข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันเกิดขึ้นต่างแคว้นกัน ศาลในแต่ละแคว้นตัดสินแตกต่างกัน ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น ดังนั้น พระเจ้าวิลเลี่ยม จึงจัดตั้งศาลพระมหากษัตริย์หรือศาลหลวง (King’s Court) โดยมีการคัดเลือกผู้พิพากษาที่มีความรู้ ความสามารถจากส่วนกลางหมุนเวียนออกไปพิจารณาคดีในศาลท้องถิ่นทั่วทุกแคว้น มีการพิจารณาโดยใช้ระบบไต่สวน (Inquisitorial System) แทนการพิจารณาคดีแบบเดิม โดยถือว่าเมื่อศาลหลวงมีคำพิพากษาเกี่ยวกับข้อเท็จจริงอย่างใดแล้วศาลอื่น ๆ ต้องผูกพันพิพากษาคดีตามศาลหลวง ซึ่งในระยะต้น ๆ มีปัญหาขัดแย้งในการพิพากษาคดีมาก เพราะแต่ละแคว้นก็มีจารีตประเพณีเป็นของตนเอง การใช้กฎหมายบังคับจึงต้องใช้กฎหมายจารีตประเพณีของแต่ละท้องถิ่น แต่ในระยะต่อมาความขัดแย้งเหล่านี้ค่อย ๆ หมดไปเกิดเป็นจารีตประเพณีที่ถือเป็นหลักเกณฑ์และข้อบังคับที่มีลักษณะเป็นสามัญ (Common) และใช้กันทั่วไปในศาลทุกแคว้น ด้วยเหตุนี้กฎหมายคอมมอน ลอว์ จึงเริ่มเกิดขึ้นประเทศอังกฤษนับแต่นั้นเป็นต้นมาเนื่องจากจารีตประเพณีที่ใช้บังคับมิได้มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ศาลจึงเป็นผู้ที่นำจารีตประเพณีมาใช้และพิจารณาพิพากษาคดีโดยอาศัยประเพณีดังกล่าว คำพิพากษาศาลได้มีการบันทึกเอาไว้เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้ผู้พิพากษาคนต่อ ๆ มาใช้เป็นแบบอย่าง (Precedent) กล่าวคือ เมื่อศาลใดได้วินิจฉัยปัญหาใดไว้ครั้งหนึ่งแล้วศาลต่อ ๆ มาซึ่งพิจารณาคดี ซึ่งมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างเดียวกันย่อมต้องผูกพันในอันที่จะต้องพิพากษาตามคำพิพากษาก่อน ๆ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างนั้นด้วยคำพิพากษาของศาลจึงมีลักษณะเป็นกฎหมายอย่างหนึ่งแม้ว่าศาลจะนำกฎหมายคอมมอน ลอว์ มาใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดีเพื่อให้เป็นระเบียบเดียวกันทั่วประเทศแล้วก็ตามแต่กฎหมายคอมมอน ลอว์ ก็ยังมีช่องว่างและไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ทุกเรื่อง อันเนื่องจากสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และความซับซ้อนของเศรษฐกิจ คำพิพากษาของศาลที่มีอยู่ไม่อาจใช้บังคับกับข้อเท็จจริงบางเรื่องได้ส่งผลให้ไม่อาจจะนำกฎหมายคอมมอน ลอว์ มาใช้เพื่อให้เกิดความยุติธรรมได้ ครั้นต่อมาเมื่อรัฐสภาอังกฤษมีอำนาจมากขึ้น ได้มีการตรากฎหมายลายลักษณ์อักษร (Statutory Law) ขึ้นใช้บังคับอย่างแพร่หลาย โดยถือว่าเป็นกฎหมายเฉพาะเรื่องและเป็นข้อยกเว้นของกฎหมายคอมมอน ลอว์ซึ่งเป็นหลักทั่วไป ระบบคอมมอน ลอว์ ปัจจุบันมีที่ใช้อยู่ในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และประเทศที่เคยอยู่ในเครือจักรภพของอังกฤษ เป็นต้น
ลักษณะเฉพาะของระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์ คือคำพิพากษาเป็นบ่อเกิดของกฎหมาย ศาลต้องผูกพันพิพากษาคดีตามแนวคำพิพากษาที่ได้มีมาแต่เดิม ตามหลัก “ข้อเท็จจริงอย่างเดียวกัน ย่อมต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกัน”
-คำพิพากษาของศาลมีความสำคัญมากกว่ากฎหมายลายลักษณ์อักษร กฎหมายลายลักษณ์อักษรเป็นเพียง
ข้อยกเว้นของกฎหมายคอมมอนลอว์ ในกรณีที่ไม่มีคำพิพากษามาปรับใช้กับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
-การศึกษากฎหมายต้องเริ่มจากการศึกษาคำพิพากษาของศาลที่มีมาแต่เดิมเป็นหลัก
-มีต้นแบบมาจากประเทศอังกฤษ
ระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์ (Common Law) นี้ บางตำราเรียกว่า ระบบกฎหมายจารีตประเพณี
สรุป ระบบกฎหมายหลักในโลกมีสองระบบคือระบบกฎหมายโรมาโน – เยอรมันนิค (Romano Germanic Law) หรืออาจเรียกว่า ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร(civil Law) และระบกฎหมายคอมมอน ลอว์ (Common Law)
ข้อ ๒. จงอธิบายคำตอบ ในสองข้อย่อยต่อไปนี้ ให้ละเอียดตามความเข้าใจของนักศึกษา
ข้อ ๒.๑ ให้นักศึกษาอธิบายถึง หลักความยุติธรรม (Equity) ที่ถูกนำมาใช้ในการพิจารณาคดีในระบบศาลซานเซอรี่ ของอังกฤษ (๑๒.๕ คะแนน)
<i>แนวคำตอบ
</i>ในสมัยแรกเริ่มจัดตั้งศาลชานเซอรี่นั้น ศาลใช้หลักสำนึกอันดีงามและหลักความเป็นธรรมในการตัดสินคดี แต่ไม่มีความนึกคิดที่จะยึดถือหลักบรรทัดฐานคำพิพากษาแต่ประการใด ในศตวรรษที่ ๑๗ มีการตั้งผู้พิพากษาไปแทนชานเซลเล่อร์ซึ่งเป็นนักบวชในคริสตศาสนาและพิมพ์รายคำพิพากษา (report) ขึ้นมาจึงทำให้มีการถือตาม คำพิพากษาที่เคยมีอยู่แต่เก่าก่อนและวางหลัก (maxims) ที่ใช้ในการตัดสินคดี เช่น
๑. เอคควิตี้จะไม่บังคับตามสัญญาที่ฝ่ายหนึ่งของสัญญามีอำนาจการต่อรองเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งมาก
๒. บุคคลที่มาแสวงหาความเป็นธรรมจะต้องมาด้วยมือสะอาด
๓. เอคควิตี้ไม่ใช่เป็นเครื่องมือสำหรับการแก้แค้น
๔. เอคควิตี้ใช้บังคับเอากับตัวบุคคล
๕. เอคควิตี้เป็นฝ่ายตามกฎหมาย
๖. เอคควิตี้จะต้องให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายได้รับการเยียวยาเสมอ
๗. เอคควิตี้คือความเสมอภาค
๘. ระหว่างความเท่าเทียมกันผู้ที่มาก่อนย่อมมีสิทธิดีกว่า
ฯลฯ
ตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดพอที่จะสรุปข้อแตกต่างระหว่างคอมมอนลอว์กับ เอคควิตี้ได้ ดังนี้
๑. สภาพแห่งคดี
คอมมอนลอว์บังคับเอากับทรัพย์สินของจำเลย กล่าวคือโจทก์ได้รับค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินตราเท่านั้น การไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลไม่เป็นหมิ่นอำนาจศาล สำหรับเอคควิตี้นั้นบังคับเอากับเนื้อตัวร่างกาย การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลเป็นการหมิ่นอำนาจศาล
๒. การพิจารณาคดี
คดีคอมมอนลอว์ใช้ลูกขุนเป็นผู้วินิจฉัยข้อเท็จจริง ส่วนผู้พิพากษาเป็น ผู้วินิจฉัยข้อกฎหมาย สำหรับคดีเอคควิตี้นั้นพิจารณาต่อหน้าชานเซลเล่อร์ ไม่มีการพิจารณาข้อเท็จจริงโดยลูกขุน ชานเซลเล่อร์เป็นผู้พิจารณาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
๓. การเยียวยา
คดีคอมมอนลอว์ให้การเยียวยาแต่เฉพาะเป็นเงินตรา สำหรับคดีเอคควิตี้นั้นโจทก์อาจได้รับความบรรเทาความเดือดร้อนโดยศาลอาจสั่งให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้เฉพาะสิ่ง (specific performance) ตามที่ระบุไว้ในสัญญาหรือสั่งห้ามจำเลยกระทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใด (injunction) หลังจากที่ประเทศอังกฤษได้ปฏิรูปกิจการศาลในปี ๑๘๗๓-๗๕ โดย เธอะ จูดิเคเจอร์ แอคท์ (The Judicture Act) ทำให้ศาลส่วนกลางมีอำนาจใช้ทั้งกฎหมาย คอมมอนลอว์และเอคควิตี้ ดังนั้นโจทก์จึงอาจนำคดีคอมมอนลอว์และเอคควิตี้มาฟ้องในศาลเดียวกันโดยไม่ต้องแยกฟ้องเหมือนสมัยก่อน
ข้อ ๒.๒ ประมวลกฎหมายจัสติเนียน ซึ่งถือว่าเป็นประมวลกฎหมายชาวโรมันในอดีต ที่ได้นำความคิดเห็นของนักปราชญ์ มาบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร จงอธิบายว่าส่วนประกอบอะไรบ้าง (๑๒.๕ คะแนน)
<i>แนวคำตอบ
</i>ประมวลกฎหมายจัสติเนียน (The Justinian Code) เป็นกฎหมายของโรมันที่จัดทำขึ้นเมื่อประมาณ ค.ศ. ๕๒๘โดยจักรพรรดิจัสติเนียน (Justinian) ได้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบไปด้วยนักกฎหมายที่มีชื่อเสียง เพื่อรวบรวมกฎหมายโรมันให้มีลักษณะเป็นหมวดหมู่ยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์ในการศึกษาจดจำ ได้ตัดข้อความเกี่ยวกับศาสนาและสิ่งที่ไม่เป็นสาระออกเพื่อให้มีแต่หลักสำคัญ และเรียกประมวลกฎหมายฉบับนี้ว่า “ประมวลกฎหมายจัสติเนียน หรือ คอร์ปัส จูริส ซิวิลิส” (Corpus Juris Civilis) ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับที่มีอิทธิพลอยู่เหนือกฎหมายของประเทศต่างๆ ในยุโรประยะหลังๆ เป็นอย่างมาก เพราะเป็นกฎหมายที่มีความแน่นอนเป็นหลักเป็นฐาน เนื่องจากได้จัดทำเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรทำให้สามารถยึดถือเป็นแบบอย่างได้ และยังสามารถนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวางอีกด้วย จึงเป็นประมวลกฎหมายที่อาจกล่าวได้ว่า เป็นต้นแบบของหลักกฎหมายและแนวความคิดในการจัดทำประมวลกฎหมายของประเทศต่างๆ ในระยะหลังต่อ มาจนถึงในปัจจุบัน
จักรพรรดิจัสติเนียน (The Justinian) ได้ทรงโปรดให้มีการรวบรวมเอาจารีตประเพณีและกฎหมายของพวกโรมันที่มีการร่างเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นแล้วมารวบรวมไว้เป็นเล่มอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน ๔ ส่วนคือ
ส่วนที่ ๑ เรียกว่า Codex (โคเด็กซ์) คือประมวลกฎหมายโรมัน มีทั้งหมด ๑๒ หมวด จักรพรรดิจัสติ
เนียนได้มอบหมายให้รัฐมนตรี ๑๐ คน ทำการร่างโดยมีการยกร่างเอากฎหมายเก่าๆ ของพวกโรมันมาชำระสะสาง กฎหมายใดไม่ทันสมัยก็ตัดทิ้งไปเอากฎหมายทันสมัยมาใส่แทนเป็นประมวลกฎหมายเสร็จในราวปี ค.ศ. ๕๒๙
ส่วนที่ ๒ เรียกว่า Digest (ไดเจสท์) เป็นส่วนสำคัญที่สุดของประมวลกฎหมายจัสติเนียน
จักรพรรดิจัสติเนียนได้มอบหมายให้ทรีบอเนียน (Tribonian) ซึ่งเป็นนักปราชญ์คนหนึ่งศึกษาข้อเขียนของกฎหมายโรมันรุ่นเก่าๆ และพยายามสกัดเอาหลักกฎหมายมาจากพวกข้อเขียน ตำรา และเอามารวบรวม มีการอธิบาย มีการวางหลักกฎหมาย การตีความ รวบรวมไว้ทั้งหมด ๕๐ หมวด ประกอบด้วย ๑๕๐,๐๐๐ บรรทัด รวบรวมหลักกฎหมายที่สกัดไว้ถึง ๙,๑๒๓ หลัก เสร็จในราวปี ค.ศ.๕๓๐ กฎหมายส่วนที่เรียกว่า Digest นี้เอง ตอนหลังมีการค้นพบในทางตอนเหนือของอิตาลีและประเทศต่างๆ นำไปศึกษาค้นคว้าปรับปรุงกฎหมายของประเทศตนเอง
ส่วนที่ ๓ เรียกว่า Novel (โนเวล) เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนและกฎหมายที่
ตราขึ้นภายหลังที่มีประมวลกฎหมายโรมันแล้วเป็นการแก้ไขส่วนที่เรียกว่า Codex ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อยู่ในระหว่าง ค.ศ.๕๓๔ – ค.ศ.๕๖๕
ส่วนที่ ๔ เรียกว่า Institute (อินสติติวท์) เป็นตำราวางพื้นฐานที่จะเริ่มต้นศึกษากฎหมายในสมัย
โรมัน จัดพิมพ์ในปี ค.ศ.๕๓๓ แบ่งออกเป็น ๓ ภาค คือ “Persona” ซึ่งว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในฐานะต่างๆ ในสังคม “Res” ซึ่งว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สิน “Actio” ซึ่งว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับการพิจารณาคดี
ข้อ ๓. “อุทลุม” ที่ปรากฏในกฎหมายตราสามดวงคืออะไร เหมือนหรือแตกต่างกับหลักการที่ปรากฎในประมวลกฏหมายและพานิชย์หรือไม่ จงอธิบาย ( ๒๕ คะแนน)
<i>แนวคำตอบ
</i> อุทลุม (/อุดทะลุม/) ตามพจนานุกรมฉบับบัณฑิยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นศัพท์กฎหมายไทย โดยเป็นคำวิเศษณ์ หมายความว่า "ผิดประเพณี, ผิดธรรมะ, นอกแบบ, นอกทาง
คำ "อุทลุม" นี้ใช้เรียกบุคคลและสิ่งต่าง ๆ ที่มีลักษณะดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่กระทำผิดธรรมะบังอาจฟ้องร้องบุพการีผู้มีพระคุณ เรียกว่า "คนอุทลุม" และเรียกคดีในกรณีนี้ว่า "คดีอุทลุม" ดังที่ปรากฏในกฎหมายตราสามดวง พระไอยการลักษณะรับฟ้อง ดังนี้
"มาตรา ๒๑ อนึ่ง ในฟ้องนั้นเป็นคนอุทลุม มิได้รู้คุณพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย อันหาความแก่พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ก็ดี ให้ยกฟ้องเสีย
มาตรา ๒๕ ผู้ใดเป็นคนอุทลุม มิได้รู้คุณบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ตา ยาย แลมันมาฟ้องร้องให้เรียกบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยายมัน ท่านให้มีโทษทวนมันด้วยลวดหนังโดยฉกรรจ์ อย่าให้มันคนร้ายนั้นดูเยี่ยงอย่างกันต่อไป แล้วอย่าให้บังคับบัญชาว่ากล่าวคดีของมันนั้นเลย"
ในการร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้น คณะกรรมการร่างได้รับเอาหลักการว่าด้วยคุณธรรมของมนุษย์หลายเรื่องจากกฎหมายตราสามดวงมาโดยตรงทีเดียว ซึ่งไม่ปรากฏในกฎหมายของชาติใดอีกแล้ว อันรวมถึงเรื่องคดีอุทลุมด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ครอบครัว, ลักษณะ ๒ บิดามารดากับบุตร, หมวด ๒สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตร ที่ยังใช้บังคับอยู่จนปัจจุบัน ห้ามผู้สืบสันดาน (descendant) ฟ้องบุพการี (ascendant) ของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา โดยบัญญัติว่า
"มาตรา ๑๕๖๒ ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้"
ทั้งนี้ โดยเหตุที่บทบัญญัติมาตรา ๑๕๖๒ ข้างต้น ตัดสิทธิของบุคคล ศาลไทยจึงตีความโดยเคร่งครัดว่า "บุพการี" ซึ่งหมายถึง "ผู้ที่ทำการอุปการะมาก่อน" นั้น ได้แก่ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย และทวด โดยทางสายโลหิตเท่านั้น ไม่หมายความรวมถึงกรณีที่บุตรบุญธรรมจะฟ้องบุพการีบุญธรรมของตน ดังแนวคำพิพากษาศาลฎีกาว่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๔๗/๒๕๔๘ บทกฎหมายที่ห้ามฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งและคดีอาญา เป็นบทกฎหมายที่จำกัดสิทธิ ต้องตีความโดยเคร่งครัด จึงต้องถือว่าข้อห้ามดังกล่าวเป็นการห้ามเฉพาะบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายฟ้องบุพการีของตนเท่านั้น ฉะนั้น โจทก์ทั้งสองซึ่งไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ ๑ จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ ได้ ไม่เป็นการต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๒ ฎีกาจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น"
อย่างไรก็ดี การที่บุตรจะฟ้องบุพการีของตนมิใช่เพื่อให้รับผิดต่อกันในทางส่วนตัว หรือในฐานะอื่นที่ไม่ถือว่าเป็นการพิพาทกันระหว่างบุตรกับบุพการี ไม่จัดเป็นอุทลุมตามกฎหมายปัจจุบัน ดังศาลฎีกาว่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๙๘/๒๕๑๙ "...จำเลยฎีกาว่า...การที่โจทก์ในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูแทนผู้เยาว์เป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๓๔ [มาตรา ๑๕๖๒ ปัจจุบัน] เห็นว่า...การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์จากจำเลย ก็ไม่เป็นคดีอุทลุม เพราะฟ้องในฐานะที่เป็นมารดาและเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ไม่ใช่ฟ้องในนามผู้เยาว์หรือในฐานะผู้แทนผู้เยาว์"
ข้อ ๔. จงอธิบายคำตอบ ในสองข้อย่อยต่อไปนี้ ให้ละเอียดตามความเข้าใจของนักศึกษา
๔.๑ มีคำกล่าวว่าระบบกฎหมายในภาคพื้นยุโรปมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการร่างประมวลกฎหมายขึ้นมาใช้ในประเทศไทยซึ่งเป็นแบบ Civil Law จงอธิบายเหตุผลเพื่อสนับสนุนคำกล่าวข้างต้น (๑๒.๕ คะแนน)
<i>แนวคำตอบ
</i> แม้ว่าผู้นำในวงการกฎหมายสมัยนั้น คือกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงสำเร็จการศึกษาวิชากฎหมายมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งใช้ระบบกฎหมายแบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษร (COMMON LAW SYSTEM) แต่เหตุ ใดรัฐกาลที่ ๕ ทรงเลือกใช้กฎหมายที่เป็นกฎหมายในระบบลายลักษณ์อักษร (CIVIL LAW SYSTEM) ในเรื่องนี้มีข้อสรุปจากคณะกรมการตรวจชำระและร่างกฎหมายว่า ระบบกฎหมายอังกฤษเหมาะสมสำหรับชาวอังกฤษมากกว่าประเทศอื่น เพราะเป็นกฎหมายที่ใช้ขนบธรรมเนียมประเพณีและคำพิพากษาของศาลเป็นหลัก ตัวบทกฎหมายก็มิได้มีการรวมไว้ให้เป็นหมวดหมู่ ส่วนประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษรนั้น มีกฎหมายโรมันเป็นหลัก เป็นกฎหมายที่มีการแบ่งหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ เข้าใจง่าย มีตัวบทที่แน่นอนและเป็นหลักฐานเหมาะสำหรับประเทศไทยที่ในขณะนั้นกำลังอยู่ในช่วงที่ต้องพัฒนาในทุก ๆ ด้าน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการบัญญัติกฎหมาย คือ ความชัดเจน เข้าใจง่าย ใช้สะดวก และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ประเทศโดยส่วนมากในทวีปยุโรปใช้ระบบประมวลกฎหมาย การที่ประเทศไทยใช้ระบบเดียวกันทำให้สะดวกในการเจรจาขอปลดเปลื้องสิทธิเสรีภาพนอกอานาเขตต่อไป
จากการที่ได้ศึกษาวิวัฒนาการของกฎหมายต่างประเทศ ทำให้เราสามารถทราบว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยได้รับอิทธิพลจากกฎหมายประเทศต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ในระบบซีวิลลอว์ กล่าวคือใน บรรพ ๑ และบรรพ ๒ได้ลอกเลียนมาจากกฎหมายแพ่งเยอรมัน และกฎหมายแพ่งญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นการนำเอาระบบกฎหมายโรมาโน-เยอรมานิคมาใช้นั้นเอง เพราะเห็นว่ากลุ่มประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษรนั้น มีกฎหมายโรมันเป็นหลัก เป็นกฎหมายที่มีการแบ่งหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ เข้าใจง่าย มีตัวบทที่แน่นอนและเป็นหลักฐานเหมาะสำหรับประเทศไทย บรรพ ๓ ว่าด้วยเอกเทศสัญญา มีการเอาแบบอย่างกฎหมายมาจากหลายประเทศ โดยเฉพาะในลักษณะ ๑ กฎหมายว่าด้วย ซื้อขาย ได้ยึดถือพระราชบัญญัติซื้อขายสินค้า (The Sale of Goods Act ๑๘๙๓) มาเป็นแบบอย่าง ในส่วนที่เป็นกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงินได้นำเอาบทบัญญัติส่วนใหญ่ของเธอะบิลล์ ออฟ เอ๊คซ์เจนจ์ แอคท์ ค.ศ. ๑๘๘๒ (The Bill of Exchange Act, ๑๘๘๒) ของอังกฤษมาเป็นรากฐานในการร่าง นอกจากนี้กฎหมายว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทจำกัด ก็ได้ต้นแบบมาจากกฎหมายอังกฤษเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นระบบคอมมอนลอว์ อยู่เพียงบางส่วนเท่านั้น จึงถือว่าระบบกฎหมายในภาคพื้นยุโรปมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการร่างประมวลกฎหมายขึ้นมาใช้ในประเทศไทยซึ่งเป็นแบบ Civil Law
๔.๒ จงอธิบายถึงปัญหาและอุปสรรคในการจัดทำร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ของประเทศไทย มาพอสังเขป (๑๒.๕ คะแนน)
แนวคำตอบ
กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ไม่ต่างจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ประเทศสยามต้องผจญอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกทั้งในด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม จนที่สุดหลาย ๆ ประเทศ อาทิ ประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีน รวมถึงสยามเองก็จำต้องยอมรับนับถือเอาแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ของตะวันตกเข้ามาใช้ในประเทศตน โดยเฉพาะด้านการเมืองการปกครองของสยามนั้น ชาวตะวันตกต่างดูถูกดูแคลนว่าพระราชกำหนดบทพระอัยการกฎหมายตราสามดวงมีความล้าหลัง ป่าเถื่อน ไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน จึงไม่ยอมให้ใช้กฎหมายเหล่านั้นแก่ตนเป็นอันขาด เป็นเหตุให้สยามจำต้องทำสนธิสัญญาเสียเปรียบกับชาติตะวันตกหลายประเทศยอมยกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้ชาวต่างชาติ แต่ในกระวนการมีปัญหาอุปสรรคสรุปได้ ดังนี้
๑. กรรมการชุดแรกมีการเปลี่ยนแปลงเอาผู้ไม่มีความสามารถมาร่างประมวลกฎหมาย
กล่าวคือกรรมการชุดนี้เป็นชาวฝรั่งเศสทั้งหมดมียอร์ช ปาดู เป็นประธาน เริ่มลงมือร่างประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้แก่ ราชอาณาจักรสยาม จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๕๗ ชอร์ช ปาดู เดินทางกลับไปยุโรปและได้แนะนำเดแลสเตร (Délestrée) แก่ทางการไทยให้รับหน้าที่แทนตน ปรากฏว่าเดแลสเตรผู้นี้ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะดำเนินการยกร่าง ซ้ำเขายังรื้อโครงการที่ชอร์ช ปาดู และคณะทำไว้ก่อนหน้า ทำให้ร่างประมวลกฎหมายเกิดความอลเวง และการดำเนินงานเป็นไปโดยเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด เมื่อชอร์ช ปาดู เดินทางกลับมาใน พ.ศ. ๒๔๕๙ ถึงกับตกตะลึงที่รับทราบว่างานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ยุ่งเหยิงถึงเพียงนั้น ทั้งที่ตนได้วางระเบียบไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาถึงเจรจราให้เดแลสเตรลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการและเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนเสีย เพื่อเขาจะได้กลับเข้ารับตำแหน่งอีกครั้ง และแล้ว งานร่างประมวลกฎหมายก็ดำเนินต่อไป
๒. ปัญหาตั้งกรรมการหลายชุดเกินไป กรรมการชุดที่สองการ ดำเนินงานก็มิใช่ง่าย เนื่องจากในการหยิบ
ยกบทกฎหมายของไทยแต่เดิมขึ้นมาพิจารณาประกอบนั้น ตัวบทกฎหมายทางวิธีพิจารณาความและทางอาญามีมากกว่าทางแพ่งและพาณิชย์ ประกอบกับใน พ.ศ. ๒๔๖๒ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ได้ทรงลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ และเจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร (หม่อมราชวงศ์ลบ สุทัศน์) เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ได้รับตำแหน่งแทน ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกหลายคณะจนเฝือ เช่น คณะกรรมการช่วยยกร่าง คณะกรรมการตรวจคำแปลให้ถูกต้องทั้งด้านกฎหมายและการใช้ภาษา เป็นผลให้งานร่างกฎหมายเป็นไปอย่างติด ๆ ขัด ๆ และการติดต่อประสานงานกันระหว่างคณะกรรมการทั้งหลายเป็นไปอย่างล่าช้า มีความคืบหน้า
น้อยมาก
๓. มีปัญหาเรื่องการใช้ภาษา ที่เมื่อแปลเป็นภาษาไทยอ่านแล้วไม่เข้าใจ
กรรมการร่างกฎหมายชุดที่ ๓ พบว่าการดำเนินงานโดยเอกัตภาพของกรมร่างกฎหมาย กระทรวง
ยุติธรรม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การตรวจชำระร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ เสร็จสิ้นลงใน พ.ศ. ๒๔๖๖ ทว่า ร่างทั้งสองกลับมิใช่ร่างที่สมบูรณ์แบบ เพราะเดิมนั้นจัดทำเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะแปลเป็นภาษาไทย แต่ก็แปลมาตรงตัวเลยทีเดียว กรรมการร่างกฎหมายฝ่ายที่เป็นชาวสยามอ่านแล้วไม่เข้าใจ คณะกรรมการร่างกฎหมายจึงลงมติว่าควรจัดพิมพ์และแจกจ่ายร่างฉบับดังกล่าวให้บรรดาผู้พิพากษาสุภาตุลาการทนายความและนักกฎหมายทั้งหลายได้อ่านเสียก่อน เพื่อหยั่งฟังเสียงดูความเห็นของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระบรมราชโองการให้ประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ หลักทั่วไป และบรรพ ๒ หนี้ ณ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๖ แต่ให้มีผลใช้บังคับในวันที่ ๑ มกราคม ปีถัดไป ปรากฏว่าประชาชนชาวไทยโดยเฉพาะหมู่ผู้พิพากษาและทนายความวิพากษ์วิจารณ์ว่า "อ่านแล้วไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง
๔. การเปลี่ยนแบบจากการใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศสเป็นแม่แบบมาเป็น
ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน เป็นแม่แบบแทน
ใน พ.ศ. ๒๔๖๖ นั้นเอง ก็มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่างกฎหมายขึ้นใหม่อีกครั้งเป็นครั้งที่ ๔ โดยชุดนี้
ประกอบด้วย มหาอำมาตย์โท พระยานรเนติบัญชากิจ (ลัด เศรษฐบุตร) เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) และเรอเน กียง (René Guyon) คณะกรรมการได้ประชุมปรึกษากันเพื่อหาวิธีการให้งานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดำเนินไปโดยตลอดรอดฝั่ง ซึ่งครั้งนั้น พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) เสนอว่า จากเดิมที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส (Code civil des Français) ซึ่งมี 3 บรรพ เป็นแม่แบบ ควรเปลี่ยนมาใช้ เบือร์แกร์ลีเชสเกเซทซ์บุค (Bürgerliches Gesetzbuch) หรือประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน เป็นแม่แบบแทน ด้วยการลอก มินโป (民法, Minpō) หรือประมวลกฎหมายแพ่งแห่งญี่ปุ่น ที่ยกร่างโดยอาศัยเบือร์แกร์ลีเชสเกเซทซ์บุคเป็นแม่แบบก่อนแล้ว ประกอบกับการใช้ซีวิลเกเซทซ์บุค (Zivilgesetzbuch) หรือประมวลกฎหมายแพ่งสวิส เป็นแม่แบบอีกฉบับหนึ่ง แต่เพื่อไม่ให้เสียไมตรีกับทางฝรั่งเศส จึงนำเอาบทบัญญัติบางช่วงบางตอนจากประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศสและจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับเดิมที่ประกาศใน พ.ศ. ๒๔๖๖ มาประกอบด้วย ที่สุดก็ได้ร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพแรก ๆ ที่สมบูรณ์ใน พ.ศ. ๒๔๖๘
๕. ปัญหาอิทธพลของระบบคอมมอนลอว์ที่มีมาก่อน และการปรับกฎหมายที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศ
แถบยุโรปให้เหมาะสมกับสังคมไทย
ภายหลังจากการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ที่ได้ตรวจ
ชำระใหม่ พร้อมกับการประกาศใช้บรรพ ๓ ในเวลาเดียวกันเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ กรมร่างกฎหมายซึ่งวิวัฒนามาเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาในปัจจุบันก็รับหน้าที่ร่างประมวลกฎหมายสืบต่อมา โดยในการร่างบรรพอื่น ๆ นั้น แม้จะมีประมวลกฎหมายแพ่งของชาติอื่น ๆ ในระบบซีวิลลอว์เป็นแม่แบบ แต่หลักกฎหมายของระบบคอมมอนลอว์ที่เคยใช้อยู่แต่เดิมก็ยังมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ การรับกฎหมายของต่างชาติเข้าหาได้หยิบยกมาทั้งหมด ทว่า ได้ปรับให้เหมาะสมกับสังคมไทย จากปํญหาและอุปสรรคข้างต้นทำให้การร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขั้น ใช้เวลาถึง ๓๐ปีจึงจะเสร็จสมบูรณ์ เพราะมีความยาวมาก มีทั้งสิ้น ๑๗๕๕ มาตรา จำนวน ๖ บรรพ ประกาศใช้ครบทุกบรรพเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๗๗
****************************************************
บทพิสูจน์ความแกร่ง แห่งเพชรแท้ ความแน่วแน่ที่จะไป...ให้ถึงฝัน
จะย่อท้อหวั่นไหว ทำไมกัน หวังและวันแห่งเส้นชัย...ไม่ไกลเกิน
<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-33573660167713012332012-09-16T08:23:00.003-07:002012-09-16T08:23:19.760-07:00แนวคำตอบข้อสอบวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทย
ให้ทำแบบทดสอบทุกข้อ ๆ ละ 25 คะแนน ภายในเวลา 3 ชั่วโมง ทดสอบวันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2555 เวลา 13.00-16.00 น.(เพื่อความพร้อมในการสอบปลายภาคและปรับปรุงวิธีการเขียน ต้องส่งคำตอบทุกคน)
*******************************************************************************
ข้อ 1. ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีการชำระสะสางกฎหมายอย่างไร กฎหมายที่กล่าวนั้นมีความเป็นมาและมีความสำคัญอย่างใด ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่มีผู้เรียกกฎหมายนั้นว่าเป็นประมวลกฎหมาย อธิบายพอเข้าใจ (35 คะแนน)
แนวคำตอบ
-มูลเหตุของการชำระกฎหมายตราสามดวง
กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในระยะแรกของกรุงรัตนโกสินทร์นั้นก็คือกฎหมายที่ใช้อยู่เมื่อครั้ง กรุงศรีอยุธยา โดยอาศัยความจำ และการคัดลอกมาตามเอกสารที่หลงเหลือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงทำการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ โดยอาศัยมูลอำนาจอธิปไตยของ พระองค์เองบ้าง อาศัยหลักฐานที่ได้จากการสืบสวน ฟังคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บ้างจนกระทั่งได้เกิดคดีขึ้นคดีหนึ่งและมีการทูลเกล้าฯถวายฎีกา คดีที่เกิดขึ้นนี้แม้เป็นคดีฟ้องหย่าของชาวบ้านธรรมดา แต่ที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์กฎหมาย ก็คือผลจากคดีนี้เป็นต้นเหตุให้นำมา ซึ่งการชำระสะสางกฎหมายในสมัยนั้น เป็นคดีที่อำแดงป้อม ฟ้องหย่านายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ทั้งๆ ที่ตนได้ทำชู้ กับ นายราชาอรรถ และศาลได้พิพากษาให้หย่าได้ตามที่อำแดงป้อมฟ้อง โดยอาศัยการพิจารณาคดีตามบทกฎหมาย ที่มีความว่า “ชายหาผิดมิได้ หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิงหย่าชาย หย่าได้”
เมื่อผลของคดีเป็นเช่นนี้ นายบุญศรีจึงได้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าถวายฎีกา ต่อพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ทรงเห็นด้วยกับฎีกาว่าคำพิพากษาของศาลนั้น ขัดหลักความยุติธรรม ทรงสงสัยว่าการพิจารณาพิพากษาคดีจะถูกต้องตรงตามตัวฉบับกฎหมายหรือไม่ จึงมีพระบรมราชโองการ ให้เทียบกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ศาลใช้กับฉบับที่หอหลวงและที่ห้องเครื่อง แต่ก็ปรากฏ ข้อความที่ตรงกัน เมื่อเป็นดังนี้ จึงทรงมีพระราชดำริว่ากฎหมายนั้นไม่เหมาะสม อาจมีความคลาดเคลื่อนจากการคัดลอก สมควรที่จะจัดให้มีการชำระสะสางกฎหมายใหม่ เหมือนการสังคายนา พระไตรปิฎกจากคดีอำแดงป้อมดังกล่าวข้างต้น ได้แสดงให้เห็นหลักกฎหมายสำคัญประการหนึ่งเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายที่ว่าแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ต้องให้ความสำคัญและปฏิบัติตามไม่มีพระราชอำนาจที่จะแก้ไข เปลี่ยนแปลงกฎหมาย ตามอำเภอใจ
ในคดีนี้แม้จะทรงเห็นว่าคำตัดสินนั้นไม่สอดคล้องกับความยุติธรรม อันอาจเนื่องมาจากการคัดลอกกฎหมายมาผิด ก็ชอบที่จะจัดให้มีการชำระสะสางกฎหมายให้กลับไปสู่ความถูกต้องเหมือนการสังคายนาพระไตรปิฎก ดังพระราชปรารภที่ว่า “ให้กรรมการชำระพระราชกำหนดบทพระอายการ อันมีอยู่ในหอหลวง ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์ไปให้ถูกถ้วน ตามบาฬีและเนื้อความ มิให้ผิดเพี้ยนซ้ำกัน ได้จัดเป็นหมวด เป็นเหล่าเข้าไว้ แล้วทรงอุตสาห ทรงชำระดัดแปลง ซึ่งบทอันวิปลาดนั้นให้ชอบโดยยุติธรรมไว้”กฎหมายตราสามดวง คือ ประมวลกฎหมายในรัชกาลที่ ๑ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ปฐมกษัตริย์แห่รัดังนั้นฎหมายตราสามดวง คือ กฎหมายในรัชกาลที่ ๑ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายเก่า แล้วรวบรวม เป็นประมวลกฎหมายขึ้นเมื่อ จุลศักราช ๑๑๖๖ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๔๗ โปรดให้เรียกว่า “กฎหมายตราสามดวง” ให้อาลักษณ์ชุบเส้นหมึกสามชุด แต่ละชุดประทับตรา ๓ ดวง คือ ตราราชสีห์ คชสีห์ และบัวแก้ว ไว้ทุกเล่มเก็บไว้ ณ ห้องเครื่องชุดหนึ่ง หอหลวงชุดหนึ่ง และศาลหลวงอีกชุดหนึ่ง เมื่อครั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง จัดพิมพ์เผยแพร่ เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๒ ม.เอร์ แลงกาต์ ดอกเตอร์กฎหมายฝรั่งเศส เป็นผู้ชำระกฎหมายตราสามดวงใหม่นั้น ได้สันนิษฐานว่าหนังสือฉบับหลวงชุดหนึ่งเป็นสมุดไทย ๔๑ เล่ม ฉะนั้น กฎหมายฉบับหลวงมีตราสามดวงซึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น จึงมี ๓ เล่ม ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง ๗๙ เล่ม เก็บไว้ที่กระทรวงยุติธรรม ๓๗ เล่ม หอสมุดแห่งชาติ ๔๒ เล่ม ส่วนอีก ๔๔ เล่ม ไม่ทราบว่า ขาดหายไปด้วยประการใด จากฉบับหลวง ตราสามดวง ๓ ชุด ดังกล่าวแล้ว
ความสำคัญของกฎหมายตราสามดวงกฎหมายตราสามดวง
กฎหมายตราสามดวงมีลักษณะเป็นกฎหมายของนักกฎหมาย (Juristenrecht) กล่าวคือ กฎเกณฑ์ส่วนใหญ่ของกฎหมายตราสามดวงโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นพระธรรมศาสตร์ ที่มีลักษณะทั่วไปและมีฐานะสูงกว่าจารีตประเพณี มีการจัดระบบกฎหมายที่เป็นระบบและมีการใช้เหตุผลของนักกฎหมายปรุงแต่ง
กฎหมายตราสามดวงมีลักษณะที่เป็นกฎหมายธรรมชาติ ทุกคนแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
ไม่มีการบัญญัติโดยแท้ บทกฎหมายใหม่นี้จึงเป็นผลงานของ นักกฎหมาย อันได้แก่ ศาลและพระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นนักกฎหมายด้วย ไม่ใช่กฎหมาย ที่บัญญัติขึ้นด้วยเหตุผลทางเทคนิค โดยกระบวนการนิติบัญญัติอย่างปัจจุบัน
มีความนับถือตัวบทกฎหมาย เชื่อว่าไม่มีใครสามารถแก้กฎหมายได้เพราะกฎหมายไม่ใช่สิ่งที่คนสร้างขึ้น แม้แต่กษัตริย์ก็แก้ไม่ได้ หากเห็นว่ากฎหมายนั้นไม่เหมาะสมจะใช้การชำระสะสางไม่ใช่ยกร่างขึ้นใหม่หรือแก้ไขกฎหมายเดิม
ไม่ใช่ประมวลกฎหมายที่มีเนื้อหาครอบคลุมทุกด้านเพราะเป็นที่รวมของบทกฎหมายที่ปรุงแต่งโดยนักกฎหมายและจารีตประเพณีที่สำคัญเท่านั้น การเรียกว่าประมวลกฎหมายตราสามดวงนั้นเป็นเพียงการใช้คำว่าประมวลเพื่อยกย่องเท่านั้นเป็นกฎหมายที่ใช้เป็นคู่มือในการชี้ขาดตัดสินคดีเพราะเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาพิพากษาคดี และใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นหลัก ไม่ใช่กฎหมายที่เขียนขึ้นในลักษณะตำรากฎหมาย
บางครั้งมีผู้เรียกกฎหมายตราสามดวงว่าเป็น ประมวลกฎหมายโบราณของไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตจำนวน ๑๑ คน นำตัวบทกฎหมายต่างๆ ที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มาชำระ และปรับปรุงแก้ไขตัวบทกฎหมายต่างๆ ให้มีความยุติธรรมและเหมาะสมกับยุคสมัยมากขึ้น โดยโปรดเกล้าฯ ให้ชำระขึ้น และได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๓๔๗* นอกจากจะนำกฎหมายเก่าที่ใช้กันในสมัยอยุธยามาชำระแล้ว ก็ยังได้ตรากฎหมายใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย แต่ข้าพเจ้าเห็นว่ากฎหมายตราสามดวงยังไม่อาจถือเป็นประมวลกฎหมายได้เพราะยังไม่ได้จัดหมวดหมู่กฎหมายอย่างชัดเจนเพียงพอประมวลกฎหมาย คือ กฎหมายซึ่งรวมบทกฎหมายต่าง ๆ ในเรื่องเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน และได้จัดให้มีการบัญญัติอย่างเป็นระบบ มีการจัดสรรให้เป็นหมวดหมู่อย่างเรียบร้อย และมีข้อความท้าวถึงซึ่งกันและกัน ซึ่งประมวลกฎหมายฉบับแรกของประแทศไทย ก็คือ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ซึ่งนับได้ว่าเป็นประมวลกฎหมายอาญาที่ทันสมัยมากในขณะนั้น เพราะได้นำหลักกฎหมายอาญาอันเป็นที่นิยมอยู่ในประเทศต่างๆมาพิจารณาดัดแปลงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของไทยอันเป็นการยกระดับประเทศขึ้นสู่ระดับอารยประเทศ
ประเทศไทยใช้กฎหมายตราสามดวงเป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนกระทั่งไทยต้องเผชิญกับลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษในพ.ศ. ๒๓๙๘ และทำสนธิสัญญาในลักษณะเดียวกันกับชาติตะวันตกอื่นๆ ชาติตะวันตกเหล่านั้นมีระบบกฎหมายที่แตกต่างไปจากกฎหมายของไทย และมองว่ากฎหมายไทยป่าเถื่อน จึงเรียกร้องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตจากไทย เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายไทยและศาลไทย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงต้องเร่งรีบปฏิรูปกฎหมาย และการศาลของไทยให้เป็นที่ยอมรับของชาติตะวันตก เพื่อไทยจะได้เอกราชทางกฎหมายและการศาลคืนมา โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งคณะกรรมการตรวจชำระกฎหมาย และจัดทำประมวลกฎหมายใหม่ขึ้น การชำระและการร่างกฎหมายใหม่นั้นได้กระทำอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะๆเมื่อกฎหมายลักษณะใดเสร็จ ก็ประกาศใช้ไปพลางๆ ก่อน จนใน พ.ศ. ๒๔๗๘ จึงประกาศใช้กฎหมายใหม่ได้ครบทุกลักษณะ และกฎหมายตราสามดวงก็ได้ยกเลิกไปในที่สุด
ข้อ 2. อธิบายโดยสังเขปถึงการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามที่ศึกษามาจากวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทยว่ามีกี่อย่าง อะไรบ้าง ยกตัวอย่างประกอบอย่างน้อย 2 ประการ (35 คะแนน)
แนวคำตอบ
แนวคิดและวิวัฒนาการในการออกเอกสารสิทธิที่ดินของประเทศไทย
1. ประวัติความเป็นมาของการออกเอกสารสิทธิที่ดิน
ที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน หมายความว่า พื้นที่ดินทั่วไปและให้หมายความรวมถึง
ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ลำน้ำ ทะเลสาบ เกาะและที่ชายทะเล ที่ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติ
ที่มีความสำคัญต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์อย่างยิ่ง ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต
โดยเฉพาะเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นทุกๆ วัน ขณะที่พื้นดินมีอยู่เท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม
เนื่องจากภัยธรรมชาติและการทำลายของมนุษย์ รัฐจึงต้องมีการออกเอกสารสิทธิในที่ดินเพื่อเป็น
การรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินแก่เจ้าของ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการโต้แย้งสิทธิในที่ดินและเป็น
หลักทรัพย์สำหรับเจ้าของที่ดินนั้น ซึ่งรับรองสิทธิหรือการออกเอกสารสิทธิที่ดินมีวิวัฒนาการมา
ตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา จนถึงปัจจุบันตามลำดับดังต่อไปนี้
1.1 สมัยกรุงสุโขทัย
ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง (ระหว่าง พ.ศ.1820 - 1860) พระองค์ทรงปกครองบ้านเมือง
ในรูปบิดาปกครองบุตร ทรงดำเนินนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจเกี่ยวกับการทำประโยชน์ในที่ดิน โดยให้พลเมืองเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเพื่อให้ได้พืชผลมาเป็นปัจจัยในการบริโภคและอุปโภคพอควรแก่ระดับการครองชีพในสมัยนั้น เมื่อราษฎรเข้าบุกเบิกหักร้างถางพงในที่ดินจนเพาะปลูกได้ผลประโยชน์แล้วก็โปรดให้ที่ดินนั้นๆ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ออกแรงออกทุนไปดังปรากฏในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ 1 ว่า
“ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึงชมสร้างป่าหมาก ป่าพลู ทั่วเมืองนี้ทุกแห่ง ป่าพร้าวก็หลาย
ในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้าง
ได้ไว้แก่มัน”
เมื่อเจ้าของที่ดินตายลงก็ยอมรับรองให้ทายาทบุตรหลานสืบมรดกตกทอดต่อกันไป
ดังข้อความในศิลาจารึกว่า
“ไพร่ฟ้าหน้าใส ลูกเจ้าลูกขุนผู้ใดแลล้มตายหายกว่า เหย้าเรือนพ่อเชื้อ เสื้อคำมัน ช้าง
ขอลูกเมียเยียข้าม ไพร่ฟ้าข้าไทย ป่าหมากป่าพลู พ่อเชื้อมันไว้แก่ลูกมันสิ้น” (100 ปี กรมที่ดิน, 2543,
หน้า 1)
1.2 สมัยกรุงศรีอยุธยา
1.2.1 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระเจ้าอู่ทอง ทรงมีพระบรมราชโองการให้ขุนเกษ
ตราธิบดี เสนาบดีกรมนาร่างกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จที่เกี่ยวกับที่ไร่ ที่นา เรือกสวน เมื่อ พ.ศ.1903
ดังนี้
บทที่ 35 มาตรา 33 “ถ้าผู้ใดโก่นสร้างเลิกรั้งที่ไร่นาเรือกสวนนั้นให้ไปบอกแก่
เสนานายระวาง นายอากรไปดูที่ไร่นาเรือกสวนที่โก่นสร้างนั้นให้รู้มากแลน้อยให้เสนานายระวาง
นายอากร เขียนโฉนดให้ไว้แก่ผู้เลิกรั้งโก่นสร้างนั้นให้รู้ว่าผู้นั้นอยู่บ้านนั้นโก่นสร้างเลิกรั้งตำบล
นั้นขึ้นในปีนั้นเท่านั้นไว้เป็นสำคัญ ถ้าแลผู้ใดลักลอบโก่นสร้างเลิกรั้งทำตามอำเภอใจตนเอง มิได้
บอกเสนานายระวาง นายอากร จับได้ก็ดี มีผู้ร้องฟ้องพิจารณาเป็นสัจไซร้ ให้ลงโทษ 6 สถาน”
บทที่ 42 “ที่ในแว่นแคว้นกรุงเทพมหานครศรีอยุธยามหาดิลกนพรัตน์ราชธานี
บุรีรมย์ เป็นที่แห่งพระเจ้าอยู่หัว หากให้ราษฎรทั้งหลายผู้เป็นข้าแผ่นดินอยู่จะได้เป็นที่ราษฎรหา
มิได้ และมีพิพาทแก่กันดังนี้ เพราะมันอยู่แล้ว มันละที่บ้านที่สวนมันเสียและมีผู้หนึ่งเข้ามาอยู่แล
ล้อมทำไว้เป็นคำนับแต่มันหากไปราชภารกิจสุขทุกข์ประการใดๆ ก็ดี มันกลับมาแล้วมันจะเข้าอยู่
เล่าไซร้ ให้คืนให้มันอยู่เพราะมันมิได้ซัดที่นั้นเสีย ถ้ามันซัดที่เสียช้านานถึง 9 ปี 10 ปี ไซร้ ให้แขวง
จัดให้ราษฎรซึ่งหาที่มิได้นั้นอยู่ อย่าให้ที่นั้นเปล่าเป็นทำเลเสีย อนึ่ง ถ้าที่นั้นมันปลูกต้นไม้อัญมณี
อันมีผลไว้ให้ผู้อยู่ให้ค่าต้นไม้นั้น ถ้ามันพูนเป็นโคกไว้ให้บำเหน็จซึ่งมันพูนนั้นโดยควร (ส่วนที่นั้น
มิให้ซื้อขายแก่กันเลย)....”
บทที่ 43 “ถ้าที่นอกเมืองหลวงอันเป็นแว่นแคว้นกรุงศรีอยุธยาใช่ที่ราษฎรอย่าให้ ซื้อขายแก่กันอย่าไว้ให้เป็นทำเลเปล่าแลให้นายบ้าน นายอำเภอ ร้อยแขวงและนายอากรจัดคนเข้าอยู่ในที่นั้น อนึ่ง ที่นอกเมืองทำรุดอยู่นานก็ดีและมันผู้หนึ่งล้อมเอาที่นั้นเป็นไร่เป็นสวนมัน มันได้ปลูกต้นไม้สรรพอัญมณีที่นั้นไว้ให้ลดอากรไว้แก่มันปีหนึ่ง พันกว่านั้นเป็นอากรหลวงแล”
ตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ 3 บทดังกล่าว สรุปหลักการใหญ่ๆ ได้ว่า
- โฉนดตามกฎหมายเบ็ดเสร็จเป็นใบอนุญาตที่นายเสนาระวาง นายอากรซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เขียนใบอนุญาตโฉนดให้ผู้ขอที่ดินยึดถือไว้เป็นคู่มือสำหรับที่ มิได้หมายความว่าผู้ถือโฉนดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดั่งเช่นในปัจจุบันแต่ออกให้เพื่อประโยชน์ในการเก็บภาษี
- ที่ดินทั้งในและนอกเมืองในแว่นแคว้นกรุงศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวราษฎรเป็นผู้ถือครองในฐานะผู้อาศัยเสียภาษีเป็นเสมือนค่าเช่า ห้ามมิให้ซื้อขายซึ่งกันและกัน
- ผู้ที่จะได้ที่ดินจะต้องขออนุญาตจับจองหรือทางราชการจัดให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องที่ดินดังกล่าวนี้ คือ กรมนาซึ่งเป็นกรมหนึ่งใน 4 กรมที่เรียกว่า จตุสดมภ์ คือ กรมเมือง (กรมเวียง) กรมวัง กรมคลังและกรมนา ทั้ง 4 กรมเป็นกรมใหญ่ประจำอยู่ส่วนกลาง ผู้บังคับบัญชาเป็นตำแหน่งเสนาบดี
1.2.2 สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991 - 2031) ได้ทรงตั้งเสนาบดี
เพิ่มอีก 2 ตำแหน่ง ในหนังสือพระราชพงศาวดารใช้คำว่า “เอาทหารเป็นสมุหกลาโหม เอาพลเรือนเป็น
สมุหนายก” คือ ทรงตั้งกระทรวงกลาโหมเป็นหัวหน้าส่วนราชการฝ่ายทหารทั่วไปกระทรวงหนึ่งระทรวงมหาดไทยเป็นหัวหน้าส่วนราชการฝ่ายพลเรือนทั่วไปกระทรวงหนึ่ง เสนาบดีทั้ง 2กระทรวงนี้มียศเป็นอัครมหาเสนาบดีสูงกว่าเสนาบดีจตุสดมภ์ ส่วนเสนาบดีจตุสดมภ์นั้นก็ได้พระราชทานนามใหม่ในพระราชพงศาวดารใช้คำว่า “เอาขุนเมืองเป็นพระนครบาล เอาขุนวังเป็นพระธรรมาธิกรณ์ เอาขุนนาเป็นพระเกสรตรธิบดี เอาขุนคลังเป็นพระโกษาธิบดี ให้ถือศักดินาหมื่น”
1.2.3 สมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2175) เรียกตำแหน่งเสนาบดีกรมนาว่า เจ้า
พระยายลเทพเทพเสนาบดีศรีไชยนพรัตน์เกษตราธิบดีอภัยพิริยะบรากรมพาหุ นามเจ้าพระยาพล
เทพ นามนี้ได้ใช้ตลอดมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์และได้มีการตราพระธรรมนูญตรากระทรวงขึ้นสำหรับใช้ในตำแหน่งเกษตราธิบดี 9 ดวง มีตรา 2 ดวงที่เกี่ยวกับงานที่ดิน คือ ตราเทพยดาทรงเครื่องยืนบนแทนถือเส้นเชือกใช้ไปรังวัดนาและชันสูตรนาซึ่งวิวาทกันและใช้ไปพระราชทานนาให้แก่ผู้มีบำเหน็จความชอบกับตรานัคลีอังคัลรูปพราหมณ์ทรงเครื่องแบกไถ สำหรับใช้ไปเลิกรั้งดงพงแขมกล่าวโดยสรุป หน้าที่ของกรมนาในสมัยกรุงศรีอยุธยามีอยู่กว้างขวางทั้งในหน้าที่บริหารและหน้าที่ตุลาการในทางบริหารมีหน้าที่จัดที่ดินซึ่งยังรกร้างเป็นทำเลเปล่าให้ราษฎรเข้าโก่นสร้างให้มีประโยชน์ขึ้นเขียนโฉนดไว้แก่ผู้โก่นสร้างที่ดิน มีหน้าที่เกี่ยวกับการชลประทานเก็บหางข้าวขึ้นฉางหลวงจัดเรื่องที่ดินเพื่อการศาสนาและแก่บุคคล ส่วนในทางตุลาการมีหน้าที่ระงับคดีวิวาทในเรื่องที่ดิน เช่น แย่งนากันทำ รวมถึงระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการลักเครื่องมือทำนา ลักแอก
ลักไถ เป็นต้น (100 ปีกรมที่ดิน, 2543, หน้า 25)
1.3 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
1.3.1 รัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 2 งานที่ดินยังคงดำเนินการเช่นเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยา
โดยมีกรมนาเป็นผู้รับผิดชอบเช่นเดิม
1.3.2 สมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านขึ้น กล่าวคือ ในปีจุล
ศักราช 1203 (ร.ศ.60 พ.ศ.2384) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่ามีการออกใบอนุญาตให้ราษฎรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินที่เรียกว่าโฉนด ออกให้ในที่ไร่ นา สวน ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นต้นมา ส่วนที่ดินเป็นที่บ้านที่อยู่อาศัยไม่มีการออกหนังสือสำคัญแต่อย่างใดและปรากฏมีกรณีพิพาทรุกล้ำกันอยู่เสมอ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านทำขึ้นทำเฉพาะภายในกำแพงพระนครขึ้นก่อนหากเป็นที่นิยมแพร่หลายก็ให้กระจายไปออกในหัวเมือง ลักษณะรูปแบบหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านเป็นหนังสือเขียนด้วยดินสอบนกระดาษข่อยต่อมาเปลี่ยนเป็นกระดาษฝรั่งแทน กระทรวงการนครบาลเป็นเจ้าหน้าที่ในการออกหนังสือสำคัญชนิดนี้ วิธีดำเนินการเมื่อมีผู้ขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านให้นายอำเภอไปทำการรังวัดแล้วประกาศโฆษณาหาผู้คัดค้านภายในเวลาที่กำหนดเมื่อไม่มีผู้ใด
โต้แย้งคัดค้านประการใดก็ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านให้ผู้ขอต่อไป ส่วนในหัวเมืองให้ผู้ว่าราชการเมืองหรือสมุหเทศาภิบาลเป็นผู้ดำเนินการและเมื่อมีการออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ใดก็ให้เปลี่ยนหนังสือสำคัญฉบับนี้สำหรับที่บ้านเป็นโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงสิทธิต่อไปหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านจึงไม่ใช่หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์หรือเพื่อเก็บภาษีอากรแต่อย่างใดแต่ออกให้เพื่อเป็นหลักฐานและขอบเขตที่ดินที่ตนปลูกบ้านอยู่อาศัยเท่านั้น
1.3.3 สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ตั้งแต่ พ.ศ.2394 -
2411) พระองค์ทรงปรับปรุงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน ส่วนราชการในด้านที่ดินนั้นคงมีการจัดทำโฉนดเช่นเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยาแต่ยังไม่ทั่วถึง เหตุว่าผู้ใดจะทำประโยชน์จะต้องไปขออนุญาตราษฎรมักไม่ขออนุญาตจึงทำให้การเก็บภาษีอากรขาดไปบ้าง ดังนั้นในปีจุลศักราช 1226 (ร.ศ.83 พ.ศ.2407) พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าให้ข้าหลวงเสนาออกไปทำการรังวัดที่นาโคดู่ คือนาหว่านที่ทำได้โดยอาศัยทั้งน้ำฝนและน้ำท่าเป็นนาที่ทำได้ผลดีบริเวณนาในท้องที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) อ่างทอง สุพรรณบุรี และลพบุรี ข้าหลวงเดินนาเป็นเจ้าหน้าที่ทำตราแดงหรือบางคนเรียกว่าโฉนดตราแดงมีความหมายเช่นเดียวกัน ลักษณะของตราแดงเป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินที่เป็นนาบอกตำบลที่ดินตั้งอยู่ ชื่อเจ้าของนา ระยะกว้าง ยาวจำนวนเนื้อที่อาณาเขตติดต่อข้างเคียงทั้งสี่ทิศมีชื่อข้าหลวงเดินนาซึ่งเป็นผู้ออกตราแดง โดยออกให้แก่เจ้าของนาเพื่อประโยชน์ในการเก็บเงินค่านามากกว่าที่จะให้เป็นหนังสือสำหรับแสดงกรรมสิทธิ์ กล่าวคือ เมื่อออกตราแดงให้เจ้าของนาไปแล้วจะได้เก็บเงินค่านาตามจำนวนที่ดินในตราแดงนั้นทุกๆ ปี แต่ก็เป็นหลักฐานในเรื่องสิทธิในที่ดินอยู่บ้างที่แสดงว่าผู้มีชื่อในตราแดงนั้นเป็นเจ้าของนาอาจมีการสืบมรดกตกทอดกันต่อๆ ไปจนถึงลูกหลาน ต่อมาได้มีการออกพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) เพื่อเปลี่ยนตราแดงเป็นโฉนดที่ดินทั้งหมดในสมัยนี้ได้มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดที่ให้ขาย ให้เช่าแก่คนนอกประเทศตามประกาศ ณ วันพฤหัส ขึ้นสองค่ำ เดือนเจ็ด ปีมะโรง นักษัตรอัฐศกศักราช 1218 (พ.ศ.2399) มีหลักการว่าที่ดินภายในพระนครและห่างกำแพงพระนครออกไปในรัศมี 200 เส้นห้ามไม่ให้ผู้ใดขายที่ดินแก่คนต่างประเทศที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยไม่ถึง 10 ปี หากผู้ใดมีความจำเป็นอาจได้รับอนุญาตจากเสนาบดีจึงจะขายได้ เหตุผลที่มีการประกาศห้ามไม่ให้ขายที่ดินแก่คนต่างด้าวนั้น
เนื่องมาจากในรัชสมัยของพระองค์มีชาวต่างประเทศเข้ามาทำมาหากินในเมืองไทยและซื้อที่ดินเพื่ออยู่อาศัยทำกินและเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองในประเทศไทยมากขึ้นและประเทศเพื่อนบ้านก็ได้สูญเสียเอกราชไปเนื่องจากยอมให้กองทัพและขบวนการค้าขายที่ซ่อนนโยบายขยายอำนาจหาเมืองขึ้นไว้เป็นฉากหลังมาตั้งมั่นอยู่ในบ้านเมืองพอได้โอกาสก็ยึดอำนาจเอาบ้านเอาเมืองเสีย ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงห้ามมิให้ขายที่ดินแก่คนต่างด้าวภายในรัศมี 200 เส้น จากพระนครดังกล่าวแล้วข้างต้นและได้มีประกาศเรื่องฝรั่งทำหนังสือสัญญาลงวันพฤหัส แรมค่ำหนึ่ง เดือนเจ็ด ปีมะโรงนักษัตรอัฐศก บัญญัติเรื่อง คนสัญชาติฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกา และคนในบังคับดังกล่าวจะซื้อหรือเช่าที่ดิน นอกจากนี้ยังมีประกาศขายสวน ขายนา ฝากแก่กัน ตามประกาศ ณ วันอาทิตย์ แรมสิบเอ็ดค่ำ ปีขาล อัฐศกศักราช 1228 (ร.ศ.85 พ.ศ.2409) โดยมีใจความสำคัญสรุปได้ว่า การขายฝากหรือการจำนำที่สวนที่นาถ้าผู้ขายหรือผู้จำนำได้มอบโฉนดตราแดงหรือหนังสือสำคัญอื่นๆ ให้แก่ผู้ซื้อหรือผู้รับจำนำก็ให้ที่ดินนั้นตกเป็นของผู้ซื้อหรือผู้รับจำนำถ้าไม่ได้มอบก็ไม่ตก (100 ปีกรมที่ดิน,
2543, หน้า 32)
1.4 สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยมหาราช เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเมื่อปี พ.ศ.2411 โดยมีสมเด็จพระเจ้ายาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะยังทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงครองราชย์เป็นเวลานานถึง 42 ปี (พ.ศ.2411 - 2453) ทรงปกครองทำนุบำรุงสร้างความเจริญก้าวหน้าแก่บ้านเมืองนานัปการ อาทิเช่น ทรงเลิกทาส ดำเนินวิเทโศบายฉลาดลึกซึ้งทำให้ชาติปลอดภัยจากการรุกรานแสดงอาณานิคมของมหาอำนาจทรงวางรากฐานปกครองระบอบประชาธิปไตย ทรงเป็นนักปกครองยอดเยี่ยมปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขการปกครอง การศาล ตั้งกระทรวง กรม ได้แก่ กรมมหาดไทย กรมพระกลาโหมกรมท่า กรมวัง กรมเมือง กรมนา กรมพระคลัง กรมยุติธรรม กรมยุทธนาธิการ กรมธรรมการ และกรมมุรธาธิการ วางพื้นฐานในทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและอื่นๆ มากมาย สำหรับราชการในหน้าที่ที่เกี่ยวกับที่ดินพระองค์ทรงวางพื้นฐานในการปรับปรุงสิทธิของผู้ถือครองที่ดินได้ตรวจบทกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินออกใช้บังคับหลายฉบับกระทำในรูปประกาศพระบรมราชโองการบ้างในรูปพระราชบัญญัติบ้างโดยมีความมุ่งหมายที่จะให้เจ้าของที่ดินผู้ลงทุนแรงทำประโยชน์ในที่ดินได้รับความเป็นธรรมและป้องกันระงับข้อวิวาทบาดหมางเนื่องจากการแย่งสิทธิในที่ดินกัน กฎหมายเกี่ยวกับที่ดินที่สำคัญก็คือประกาศออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.120 (พ.ศ.2444) และพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ดินใช้บังคับจนถึง พ.ศ.2497 หนังสือสำคัญสำหรับที่ดินออกใช้ในรัชกาลที่ 5 มีดังต่อไปนี้ คือ โฉนดสวน โฉนดป่า ใบเหยียบย่ำ ตราจอง โฉนดตราจอง โฉนดแผนที่ โฉนดที่ดิน
1.4.1 โฉนดสวน เป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินออกตามประกาศซึ่งจะเดินสวนจุลศักราช 1236 (ร.ศ.93 พ.ศ.2417) โดยเจ้าพระยาภาสกรวงษ์ ผู้ว่าการกรมนาเป็นผู้จัดการ โดยพระบรมราชโองการตั้งข้าราชการหลายเหล่าจำนวน 8 นาย เป็นข้าหลวงไปดำเนินการรังวัดที่สวนสำรวจต้นผลไม้ยืนต้นที่มีอายุเกิน 3 ปีขึ้นไปต้องเสียอากรสวน คือ หมาก พลู มะปราง มะม่วงทุเรียน มังคุด ลางสาด ส่วนต้นไม้อื่นๆ ที่อยู่ในสวนนั้นไม่ต้องเสียอากร การสำรวจสวนมีกำหนดทำการสำรวจทุกๆ 10 ปี หรือเปลี่ยนรัชกาลใหม่ได้ครบกำหนด 3 ปี อีกครั้งหนึ่งการออกโฉนดสวนออกให้แก่เจ้าของสวน มิได้เกี่ยวถึงนาและที่อื่นๆ มีความมุ่งหมายในการเก็บอากรสวนเท่านั้นลักษณะของโฉนดสวนเป็นแบบพิมพ์มีต้นขั้วมีสาระสำคัญที่ตั้งที่ดิน ชื่อเจ้าของสวน รายชื่อข้าหลวงจำนวน 8 นาย จำนวนต้นผลไม้ ทั้ง 7 ชนิด ดังกล่าว แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือชนิดไม้ใหญ่และไม้เล็ก จำนวนเงินต้องเสียอากรสวน วันเดือนปีที่ออกโฉนด ประทับตราให้ไว้เป็นสำคัญถ้าโฉนดสวนเป็นอันตรายสูญเสียเจ้าของสวนขอออกใบแทนได้
1.4.2 โฉนดป่า เป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินชนิดหนึ่งซึ่งออกในยุคเดียวกับโฉนดสวนออกให้ในที่ดินที่ปลูกพรรณไม้ชนิดเล็กและที่ไม่อยู่ในลักษณะที่จะต้องเสียอากรต้นผลไม้โฉนดป่าออกในที่ปลูกพืชล้มลุก (ไม่ใช่ต้นไม้ 7 ชนิดที่ออกโฉนดสวน) เช่นสวนผักต่างๆ สวนอ้อยหรือสวนจาก เป็นต้น โดยมีบัญชีต้นไม้โฉนดป่าเจ้าเมืองกรรมการเป็นผู้ออกให้มิได้เกี่ยวกับข้าหลวงเสนาอย่างใด การเก็บอากรโฉนดป่าเก็บตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุไว้
1.4.3 ใบเหยียบย่ำ เป็นหนังสือที่เป็นใบอนุญาตให้จองที่ดินเพื่อให้ผู้ขอเข้าครอบครองทำที่ดินให้เกิดประโยชน์ในสมัยนี้ได้มีการออกใบเหยียบย่ำมาหลายแบบ ดังนี้1) ใบเหยียบย่ำอย่างเก่าก่อน ร.ศ.117 (พ.ศ.2441) เป็นใบอนุญาตให้ราษฎรจับจองเข้าหักร้างถางพงทำประโยชน์ในที่ดินแต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายหรือข้อบังคับฉบับใดและไม่มีระเบียบวิธีการปฏิบัติไว้โดยแน่นอนแต่เป็นที่เข้าใจว่าน่าจะเป็นการจับจองซึ่งออกตามพระราชบัญญัติสำหรับผู้รักษาเมืองกรมการและเสนากำนันอำเภอ ซึ่งจะออกเดินประเมินนา จุลศักราช 1244 (ร.ศ.101 พ.ศ.2424) ผู้ใดมีความประสงค์จะขอที่ดินทำกินก็ให้ไปบอกเสนากำนันซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ กำนันตรวจสอบและพิจารณาเห็นควรก็ออก ใบ
เหยียบย่ำ ใบเหยียบย่ำชนิดนี้เขียนด้วยเส้นดินสอบนกระดาษข่อยมีจำนวนเนื้อที่ที่ขอจับจองไม่เกิน100 ไร่ กำหนดให้ทำประโยชน์ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ถ้าผู้ถือใบเหยียบย่ำไม่ทำประโยชน์ภาย ในกำหนด 1 ปี เป็นอันสิ้นสิทธิการจับจองแต่ถ้าได้ทำประโยชน์เพียงใดก็ได้ไปเฉพาะที่ดินที่ทำประโยชน์เท่านั้น 2) ใบเหยียบย่ำตามข้อบังคับการหวงห้ามที่ดิน ร.ศ.117 (พ.ศ.2441) นายอำเภอเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในการออกใบเหยียบย่ำ ใบเหยียบย่ำชนิดนี้มีกำหนดอายุ 12 เดือน เมื่อครบกำหนดขอต่ออายุใหม่ได้ทุกรอบ 12 เดือน ถ้าผู้ถือใบเหยียบย่ำมีความประสงค์จะปันแลกเปลี่ยนหรือขายที่ดินแก่ผู้อื่นก็ให้นำใบเหยียบย่ำไปขอเปลี่ยนเจ้าของต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้โดยทำสัญญาและสลักหลังในใบเหยียบย่ำ ส่วนผู้รับโอนย่อมมีสิทธิในการจับจองที่ดินตามอายุของใบเหยียบย่ำเสมือนเป็นผู้ถือมาแต่เดิมหากใบเหยียบย่ำเป็นอันตรายสูญหายก็ขอรับใบแทนใหม่ได้
3) ใบเหยียบย่ำออกตามกฎกระทรวงเกษตราธิการ ร.ศ.120 (พ.ศ.2444)หมวดที่ 8
ว่าด้วยการจับจองที่ดินตามความในข้อ 15 แห่งประกาศกระแสพระบรมราชโองการเรื่องออกโฉนด
ที่ดิน ประกาศเมื่อวันที่ 15 กันยายน ร.ศ.120 (พ.ศ.2444) ความว่าถ้าผู้ใดจะขอจับจองที่ดินว่างเปล่า
ในท้องที่ที่ได้ออกโฉนดอย่างใหม่ (โฉนดแผนที่) แล้วให้ผู้นั้นปักไม้แก่นหมายเขตทุกมุมที่แล้วเชิญ
กำนันผู้ปกครองท้องที่พร้อมทั้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงกับที่ที่จอขอจับจองไม่ต่ำกว่า 2 คน ไปเป็น
พยานชันสูตรที่นั้นแล้วทำเรื่องราวขอจับจองยื่นต่อกรมการอำเภอผู้ปกครองท้องที่ เมื่อกรมการ
อำเภอได้รับเรื่องราวและพิจารณาเห็นเป็นการถูกต้องแล้วก็ให้ออกใบเหยียบย่ำให้แก่ผู้จับจองไป
และให้ปิดประกาศโฆษณาที่การขอจับจองที่รายนั้นไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอและที่ว่าการกำนันนาย
ตำบลนั้นด้วยใบเหยียบย่ำนั้นต้องลงนามและประทับตราตำแหน่งนายอำเภอเป็นสำคัญและลงนาม
กำนันนายตำบลที่นั้นเป็นพยานด้วยใบเหยียบย่ำชนิดนี้ให้มีกำหนด 1 ปี มีระเบียบให้ต่ออายุได้ แต่ผู้
ถือจะโอนให้ผู้อื่นต่อไปอีกไม่ได้และแม้จะได้ออกใบเหยียบย่ำให้แก่ผู้ใดไปแล้วก็ดีถ้าความปรากฏ
ภายหลังว่าที่ดินที่อนุญาตให้จับจองเป็นที่ซึ่งรัฐบาลยังไม่มีความประสงค์จะให้ผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ก็
อาจไม่ยอมให้จับจองต่อไปอีกก็ได้หรือถ้าปรากฏว่าจับจองที่ดินมากกเกินกำลังความสามารถที่จะ
ทำให้ที่ดินเกิดประโยชน์ได้จะจับจองแต่พอสมควรก็ได้
4) ใบเหยียบย่ำ ออกตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2451)
หมวดที่ 11 ว่าด้วยการจับจองที่ดิน มีวิธีดำเนินการเช่นเดียวกับใบเหยียบย่ำออกตามกฎ กระทรวง
เกษตราธิการ ร.ศ.120 (พ.ศ.2444) กล่าวคือใบเหยียบย่ำนี้ออกให้แก่ผู้ขอจับจองในเขตที่ ดินที่มีการ
ออกโฉนดแผนที่แล้วนายอำเภอเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่และโอนสิทธิการจับจองไม่ได้จำกัดจำนวน
ให้จับจองตามกำลังความสามารถของผู้ขอจับจองเท่าที่จะเห็นสมควรต่อมามีพระราชบัญญัติออก
โฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2479 แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการจับจองที่ดินให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างจริงจังโดยกำหนดที่ดินที่จะอนุญาตให้จับจองต้องเป็นที่ดินรกร้างว่าง
เปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินคือที่ดินที่ไม่มีผู้ใดเข้าครอบครองเป็นเจ้าของ เช่น ที่ป่ารก
ทุ่งว่าง เป็นต้น สาระสำคัญและประทับตราตำแหน่งนายอำเภอ ชื่อผู้ขอจับจอง ที่อยู่ สัญชาติ เชื้อ
ชาติ ชื่อบิดามารดาของผู้ได้รับอนุญาตตำแหน่งแห่งที่ดิน ปริมาณเนื้อที่และเขตที่ดินเนื้อที่ที่อนุญาต
ให้จับจองดังนี้
- นายอำเภออนุญาตได้ไม่เกิน 50 ไร่
- ข้าหลวงประจำจังหวัด (ผู้ว่าราชการจังหวัด) อนุญาตให้จับจองได้ไม่เกิน 100 ไร่
ใบเหยียบย่ำที่มีอายุ 2 ปี ถ้าไม่ทำประโยชน์ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเป็นอันสิ้นสิทธิการจับจองเฉพาะส่วนที่ไม่ได้ทำประโยชน์โอนไม่ได้เว้นแต่จะตกทอดทางมรดก
1.4.4 ตราจอง เป็นใบหนังสืออนุญาตให้จองที่ดินเพื่อให้ผู้ขอเข้าใช้ประโยชน์ใน
ที่ดิน
1) ตราจองออกตามพระราชบัญญัติสำหรับผู้รักษาเมืองกรมการแลเสนากำนัน
อำเภอ ซึ่งจะออกเดินประเมินนา จุลศักราช 1236 (ร.ศ.93 พ.ศ.2417) ข้าหลวงกรมนาเป็นผู้ออกให้
อายุ 3 ปี ซึ่งมีบัญญัติไว้ในข้อ 11 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวว่าถ้า“ผู้ใดจับจองนาฟางลอยใน กรุงเทพมหานครและหัวเมืองไว้มากทำแต่น้อยไม่เต็มเนื้อที่ทิ้งให้รกร้างว่างเปล่าพ้น 3 ปี ไปก็ดีหรือที่ได้ทำนาอยู่แล้วภายหลังไม่ทำทิ้งไว้พ้น 3 ปี ไปให้ขาดผลประโยชน์ในแผ่นดินถ้าผู้ใดจะไปทำนาในที่นั้นก็ให้มาบอกต่อมาเสนาผู้รักษาเมืองกรมการกำนันไปปักเสาทำสำคัญประทับตราให้นาเป็นสิทธิแก่ผู้ทำต่อไปเจ้าของเดิมมาว่ากล่าวประการใดห้ามอย่าให้เสนาผู้รักษาเมืองกรมการคืนนานั้นให้เป็นอันขาดทีเดียว ฯลฯ”ข้าหลวงกรมนานี้แต่เดิมมาได้มีการแต่งตั้งให้มีหน้าที่ออกเดินสำรวจเก็บเงินค่านาปีละหนึ่งครั้งและมีหน้าที่ออกตราจองให้แก่ผู้ทำนาด้วย ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการเก็บเงินที่นา ต่อมาการเก็บเงินค่านาเป็นหน้าที่ของกรมสรรพากร กระทรวงการคลังจึงเลิกข้าหลวงกรมนานั้นเสีย
2) ตราจองที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าหลวงขุดคลอง
ออกให้แก่ราษฎรที่ช่วยขุดคลองตามประกาศขุดคลอง จุลศักราช 1239 (ร.ศ.96 พ.ศ.2420) ซึ่งทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าหลวงออกไปตรวจหาที่ซึ่งมีที่ดินอุดมดีขุดคลองขึ้น
ตำบลใดราษฎรทั้งปวงที่ต้องการที่ดินมากน้อยเท่าใดก็ให้ผู้ที่ต้องการนั้นออกเงินช่วยในการขุด
คลองบ้างตามสมควรแก่ที่มากและน้อยถ้าไม่ออกเงินก็ให้ออกแรงช่วยและข้าหลวงจะได้ออกตรา
จองให้แก่ราษฎรผู้นั้น ตราจองที่ออกให้แก่ราษฎรที่ช่วยขุดคลองนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรด
กระหม่อมเพิ่มอายุตราจองขึ้นกว่าพระราชกำหนดเดิมอีก 2 ปี เป็น 5 ปี ถ้าครบ 5 ปีแล้วผู้ใดไม่ทำ
สวนทำไร่ในที่ตราจองนั้นให้เกิดผลประโยชน์แก่แผ่นดินทิ้งรกร้างว่างเปล่าไม่เป็นประโยชน์สิ่งใด
ข้าหลวงจะเรียกเอาตราจองนั้นคืน คลองที่ขุดได้แก่ คลองในทุ่งหลวง คลองรังสิต คลองประเทศบุรี
รมย์ คลองนครเขื่อน เป็นต้น
3) ตราจองชั่วคราว ออกตามพระราชบัญญัติออกตราจองที่ดินชั่วคราว ร.ศ.121
(พ.ศ.2445) ต่อมามีประกาศเปลี่ยนนามเป็นพระราชบัญญัติออกโฉนดตราจอง ร.ศ.124 (พ.ศ.2448) เรียกตราจองดังกล่าวว่า โฉนดตราจองโฉนดตราจอง เป็นหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินออกตามพระราชบัญญัติออกโฉนดตราจองและให้ใช้ในมณฑลพิษณุโลก ร.ศ.124 (พ.ศ.2448) พระราช บัญญัติดังกล่าวใช้เฉพาะในท้องที่จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร สุโขทัยและอุตรดิตถ์ (ปัจจุบันรวมจังหวัด
นครสวรรค์ด้วยเพราะมีการโอนเขตจังหวัดข้างเคียงมารวมกับจังหวัดนครสวรรค์รวมเป็น 5 จังหวัด
ทีโฉนดตราจอง) ต่อมาทางราชการได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปทำการเดินสำรวจฯ เพื่อเปลี่ยนโฉนดตราจองเป็นโฉนดแผนที่โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2493 เป็นต้นมา¬
1.4.5 โฉนดแผนที่ เป็นหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินออกตามประกาศออกโฉนด
ที่ดิน ร.ศ.120 (พ.ศ.2444) และออกตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2453) โฉนดแผนที่มีแผนที่จำลองไว้ในหลังโฉนด ที่เรียกว่าโฉนดแผนที่ก็เพื่อแตกต่างจากโฉนดสวน โฉนดป่า
โฉนดตราแดง (ออกสมัยรัชกาลที่ 4) ซึ่งเป็นโฉนดอย่างเก่าที่ไม่มีแผนที่หลังโฉนดกล่าวคือ เมื่อทางราชการได้มีการออกโฉนดแผนที่ในท้องที่ใดก็บังคับให้ผู้ถือที่ดินมือเปล่าและผู้ถือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินอย่างอื่นต้องนำรังวัดที่ดินเพื่อรับโฉนดแผนที่หรือเปลี่ยนหนังสือสำหรับที่ดินเดิมเป็นรับโฉนดแผนที่ชนิดเดียวกันเสียทั้งหมด ดังปรากฏตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) ซึ่งบัญญัติว่า“ในบัดนี้มีความประสงค์จะเปลี่ยนหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินเป็นโฉนดแผนที่ทั้งหมดเพราะเหตุฉะนั้น จึงให้เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการมีอำนาจแจ้งความในราชกิจจาให้เจ้าของที่มารับโฉนดหรือเปลี่ยนโฉนดได้ทุกแห่งทุกตำบล ถ้าผู้ใดขัดขืนไม่ช่วยพนักงานกระทำการรังวัดหรือการออกโฉนดแผนที่ให้สะดวกอย่างใดให้มีโทษปรับครั้งละ 100 บาท ลงมาเป็นพินัย
แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร”
1.4.6 โฉนดที่ดิน เป็นหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีประวัติความเป็นมาเริ่ม
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากมีปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินขึ้นสู่ศาลบ่อยผลของการจัดระเบียบที่ดินเน้นหนักไปในทางแง่สำรวจตรวจเก็บภาษีอากรเกี่ยวกับที่ดินโดยเจ้าหน้าที่ผู้เก็บภาษีอากรออกหนังสือสำคัญให้เจ้าของที่ดินยึดถือไว้นั้นไม่อาจระงับข้อพิพาทโต้แย้งในปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ได้เพราะหนังสือสำคัญของเจ้าพนักงานภาษีอากรมีข้อความไม่กระจ่างว่าผู้ใดมีสิทธิอยู่ในดินเพียงใดอย่างใด ส่วนมากมักจะระบุแต่ว่าได้ทำเอาสินปลูกผลพืชพันธุ์อะไรอันควรเรียกเก็บอากรได้บ้างจึงไม่เป็นหลักฐานพอที่จะใช้สืบยันสิทธิกันระหว่างคู่พิพาทได้ พระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกระทรวงเกษตรพาณิชยการ (เดิมคือกรมนา แต่ได้ยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง) และได้โปรดเกล้าฯ ย้ายนายพลโทเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต)จากกรมยุทธนาธิการมาเป็นเสนาบดีของพระยาประชาชีพบริบาล (ผึ่ง ชูโต) ขณะนั้นยังไม่มี
บรรดาศักดิ์ซึ่งเป็นเสมียนตราอยู่ในกรมนานั้นขึ้นเป็นปลัดทูลฉลองจัดดำเนินงานในเรื่องสิทธิในที่ดินให้รัดกุมขึ้นแต่การที่จะสร้างหลักฐานเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินให้เห็นได้ชัดแจ้งลงไว้ในโฉนดจะต้องมีการทำแผนที่ระวางรายละเอียด เรียกว่า คาดัสตรัลเซอร์เวย์ (Cadastral Survey) ซึ่งเวลานั้นยังจะจัดให้ลุล่วงไปโดยเร็วมิได้เพราะช่างแผนที่มีอยู่น้อย การทำหลักฐานเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินจึงยังชะงักอยู่
ข้อ 3. การอำนวยความยุติธรรมของศาลและวิธีพิจารณาคดีความในสมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตามที่ได้ศึกษามามีเป็นประการใดบ้าง (30 คะแนน)
แนวคำตอบ
- สมัยกรุงสุโขทัย
ในสมัยนี้บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ดังคำพังเพยที่ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ประชาชนพลเมืองมีน้อย อยู่ในศีลในธรรมคดีความจึงมีไม่มาก พระมหากษัตริย์กับประชาชนมีความใกล้ชิดกัน พระมหากษัตริย์จึงทรงตัดสินคดีความด้วยพระองค์เองเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มี หลักฐานจากศิลาจารึกว่า พระมหากษัตริย์ได้ทรงมอบให้ขุนนางตัดสินคดีแทนด้วย ในสมัยนี้พอมีหลักฐานเกี่ยวกับการพิจารณาคดีจากหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง “ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปก กลางบ้านกลางเมืองมีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจมันจักกล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียก เมื่อถามสวนความแก่มันด้วยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึงชม ไพร่ฟ้า ลูกเจ้า ลูกขุนผิแลผิแผกแสกว้างกัน สวนดูแท้แล้วจึงแล่งความแก่ข้าด้วยซื่อ บ่อเข้าผู้ลักมักผู้ซ่อนเห็นข้าวท่านบ่อใคร่พิน เห็นสินท่านบ่อใคร่เดือด” จากศิลาจารึกนี้ทำให้ทราบว่า การร้องทุกข์ในสมัยนั้นร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์โดยตรง และพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ไต่สวนพิจารณาคดีด้วยพระองค์เอง หรือให้ขุนนางเป็นผู้ไต่สวนให้ถ่องแท้และตัดสินคดีด้วยความเป็นธรรม ไม่ลำเอียงและไม่รับสินบน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญใน การพิจารณาคดีในสมัยนั้น สำหรับสถานที่พิจารณาคดีที่เรียกว่า ศาลยุติธรรมนั้นในสมัยสุโขทัยไม่ปรากฏว่ามีศาล ตัดสินคดีเหมือนในสมัยนี้ แต่ก็มีหลักฐานจากหลักศิลาจารึกว่า ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงทรงใช้ ป่าตาลเป็นที่พิจารณาคดี ซึ่งพอเทียบเคียงได้ว่าเป็นศาลยุติธรรมในสมัยนั้น “1214 ศก ปีมะโรง พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยนี้ ปลูกไม้ตาลนี้ได้ 14 เท่า จึงให้ช่างฟันกระดาษเขียนตั้งหว่างกลางไม้ตาลนี้ วันเดือนดับเดือนหก 8 วัน วันเดือนเต็มเดือนบั้ง ฝูงปู่ครูเถร มหาเถรขึ้นนั่งเหนือกระดานหินสวดธรรมแก่อุบาสก ฝูงถ้วยจำศีล ผิใช่วันสวดธรรม พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยขึ้นนั่งเหนือกระดาษหิน ให้ฝูงถ้วยลูกเจ้า ลูกขุน ฝูงถ้วยถือบ้านถือเมือง ในกลางป่าตาลมีศาลา 2 อัน อันหนึ่งชื่อศาลพระมาส อันหนึ่งชื่อพุทธศาลา กระดานหินนี้ชื่อมนังคศิลาบาท” จากศิลาจารึกนี้พอเทียงเคียงได้ว่า ป่าตาลเป็นศาลยุติธรรม สมัยสุโขทัย และพระแท่นมนังคศิลาบาทเป็นเสมือนบัลลังก์ศาลในสมัยนั้น สำหรับกฎหมายที่ใช้ในสมัยสุโขทัยซึ่งปรากฎในศิลาจารึกหลักที่หนึ่งนั้น มีลักษณะคล้ายกฎหมายในปัจจุบัน เช่น กฎหมายกรรมสิทธิ์ที่ดิน “หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มัน” กฎหมายพาณิชย์ “ใครจะใคร่ค้าม้าค้า ใครจะใคร่ค้าเงินค้า ค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส” นอกจากนั้นแล้วในหลักศิลาจารึกยังกล่าวถึงกฎหมายลักษณะโจรและการลงโทษ เช่น ขโมยข้าทาสของผู้อื่น “ผิผู้ใดหากละเมิน และไว้ข้าท่านพ้น 3 วัน คนผู้นั้นไซร้ท่านจะให้ไหมแลวันแลหมื่นพัน” นอกจากกฎหมายต่าง ๆ ที่มีลักษณะเหมือนกฎหมายปัจจุบันแล้ว ยังใช้กฎหมายคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ของอินเดียด้วย สำหรับการลงโทษในสมัยสุโขทัยตามหลักศิลาจารึก กฎหมายลักษณะโจรมีโทษเพียง ปรับเท่านั้น ไม่มีหลักฐานการลงโทษที่รุนแรงถึงตาย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ ประชาชนมีไม่มากและเป็นผู้ที่เคร่งครัดอยู่ในศีลในธรรมตามหลักพุทธศาสนา ประชาชนจึงอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
-สมัยกรุงศรีอยุธยา
ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี บ้านเมืองก็เจริญขึ้นตามลำดับ ราษฎรก็เพิ่มมากขึ้น ทำให้พระราชภารกิจของพระมหากษัตริย์มีมากขึ้น จึงมิอาจทรงพระวินิจฉัยคดีความด้วยพระองค์เองได้อย่างทั่วถึงเช่นกาลก่อน จึงทรงมอบอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยอรรถคดีของอาณาประชาราษฎร์ให้แก่ ราชครู ปุโรหิตา พฤฒาจารย์ ซึ่งเป็นมหาอำมาตย์พราหมณ์ในราชสำนักและเสนาบดีต่าง ๆ เป็นผู้ว่าการยุติธรรมต่างพระเนตรพระกรรณ ทำให้พระมหากษัตริย์ไม่อาจใกล้ชิดกับราษฎรเหมือนสมัยสุโขทัย แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะดูเหมือนห่างไกลจากราษฎร แต่ว่าบทบาททางด้านการยุติธรรมนั้นกลับดูใกล้ชิดกับราษฎรอย่างยิ่ง โดยทรงเป็นที่พึงสุดท้ายของราษฎร ถ้าราษฎรเห็นว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรมในการพิจารณาคดีก็มีสิทธิที่จะถวายฎีกา เพื่อขอให้พระมหากษัตริย์พระราชทานความเป็นธรรมแก่ตนได้ ซึ่งเป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน และเมื่อพระมหากษัตริย์ทรง พระวิจารณญาณวินิจฉัยอรรถคดีใดด้วยพระองค์เอง พระบรมราชวินิจฉัยในคดีนั้นก็เป็นบรรทัดฐานที่ศาลสถิตย์ยุติธรรมพึงถือปฏิบัติสืบต่อมา ผู้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการยุติธรรมแทนพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมี 3 กลุ่มได้แก่ ลูกขุน ณ ศาลหลวง ตระลาการ ผู้ปรับ การพิจารณาคดีในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้กล่าวหาหรือผู้ที่จะร้องทุกข์ต้องร้องทุกข์ต่อจ่าศาลว่าจะฟ้องความอย่างไรบ้าง จ่าศาลจะจดถ้อยคำลงในหนังสือแล้วส่งให้ลูกขุน ณ ศาลหลวงพิจารณาว่า เป็นการฟ้องร้องตามกฎหมายควรรับไว้พิจารณาหรือไม่ ถ้าเห็นควรรับไว้พิจารณาจะพิจารณาต่อไปว่า เป็นหน้าที่ของศาลกรมไหนแล้วส่งคำฟ้องและตัวโจทก์ไปยังศาลนั้น เช่น ถ้าเป็นหน้าที่กรมนา จะส่งคำฟ้องและโจทก์ไปที่ศาลกรมนา ตระลาการศาลกรมนาก็จะออกหมายเรียกตัวจำเลยมาถามคำให้การไต่สวนเสร็จแล้วส่งคำให้การไปปรึกษาลูกขุน ณ ศาลหลวงว่ามีข้อใดต้องสืบพยานบ้าง เมื่อลูกขุนส่งกลับมาแล้ว ตระลาการก็จะทำการสืบพยานเสร็จแล้วก็ทำสำนวนให้โจทก์และจำเลยหยิกเล็บมือที่ดินประจำผูกสำนวน เพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าเป็นสำนวนของโจทก์ จำเลย แล้วส่งสำนวนคดีไปให้ลูกขุน ณ ศาลหลวง ลูกขุน ณ ศาลหลวงจะพิจารณาคดีแล้วชี้ว่าฝ่ายใดแพ้คดี เพราะเหตุใดแล้วส่งคำพิพากษาไปให้ผู้ปรับ ผู้ปรับจะพลิกกฎหมายและกำหนดว่าจะลงโทษอย่างไรตามมาตราใด เสร็จแล้วส่งคืนให้กรมนา ตระลาการกรมนาจะทำการปรับไหมหรือลงโทษตามคำพิพากษา หากคู่ความไม่พอใจตามคำพิพากษา ก็สามารถอุทธรณ์ต่อผู้บังคับบัญชาหัวเมืองนั้น ๆ ถ้ายังไม่พอใจก็สามารถถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ได้อีก ศาลในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นมี 4 ศาลตามการปกครองแบบจตุสดมภ์ โดยเริ่มที่กรมวังก่อนแล้วจึงขยายไปยังที่กรมอื่น ๆ ในตองกลางกรุงศรีอยุธยามีการตั้งกรมต่าง ๆ ขึ้นจึงมีศาลมากมายกระจายอยู่ตามกรมต่าง ๆ ทำหน้าที่พิจารณาคดีที่เกี่ยวกับกรมของตน ในช่วงกลางสมัยกรุงศรีอยุธยามีการรวมรวบกรมต่าง ๆ ขึ้นเป็นกระทรวงจึงแบ่งศาลออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ศาลความอาญา ศาลความแพ่ง สองศาลนี้ขึ้นอยู่กับกระทรวงวัง ชำระความคดีอาญาและคดีความแพ่งทั้งปวง ศาลนครบาล ขึ้นอยู่กับกระทรวงนครบาล ชำระความคดีโจรผู้ร้าย เสี้ยนหนามแผ่นดิน ทั่วไป ศาลการกระทรวง ขึ้นอยู่กับกระทรวงอื่น ๆ ชำระคดีที่อยู่ในหน้าที่ของกระทรวงนั้น ๆ ส่วนสถานที่พิจารณาคดีหรือที่ทำการของศาลในสมัยกรุงศรีอยุธยา นอกจากศาลหลวงที่ ตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวังแล้ว ศาลอื่น ๆ ไม่มีที่ทำการโดยเฉพาะ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า ที่ทำการของศาลหรือที่พิจารณาคดีคงใช้บ้านของตระลาการของศาลแต่ละคนเป็นที่ทำการ สำหรับที่ตั้งของศาลหลวงนั้นมีหลักฐานตามหนังสือประชุมพงศาวดารภาค 63ว่าด้วยตำนานกรุงเก่ากล่าวว่า ศาลาลูกขุนนอก คือศาลหลวงคงอยู่ภายในกำแพงชั้นนอกไม่สู้ห่างนัก คงจะอยู่มาทางใกล้กำแพงริมน้ำ เนื่องจากเมื่อขุดวังได้พบดินประจำผูกสำนวนมีตราเป็นรูปต่าง ๆ และบางก้อนก็มีรอยหยิกเล็บมือ ศาลหลวงคงถูกไฟไหม้เมือเสียกรุง ดินประจำผูกสำนวนจึงสุกเหมือนดินเผา มีสระน้ำอยู่ในศาลาลูกขุนใน สระน้ำนี้ในจดหมายเหตุซึ่งอ้างว่าเป็นคำให้การของขุนหลวงหาวัด ว่าเป็นที่สำหรับพิสูจน์คู่ความให้ดำน้ำในสระนั้น เพื่อพิสูจน์ว่ากล่าวจริงหรือกล่าวเท็จ
สำหรับกฎหมายในสมัยกรุงศรีอยุธยา แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
พระธรรมศาสตร์ เป็นกฎหมายดั้งเดิมของไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย เป็นหลักกฎหมายที่ลูกขุนฝ่ายในศาลหลวงจะต้องยึดถือปฏิบัติ และใช้ในการวินิจฉัยคดี มีบทกำหนดลักษณะของตุลาการ ข้อพึงปฏิบัติของตุลาการ คำสั่งสอนตุลาการ
พระราชศาสตร์ เป็นพระบรมราชวินิจฉัยในอรรถคดีของพระมหากษัตริย์ เช่น การวินิจฉัยคดีที่ราษฎรฎีกา เป็นต้น ซึ่งต้องยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติต่อมาจนกลายเป็นกฎหมาย พระราชกฎหมาย กำหนดกฎหมายอื่น ๆ เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์พระองค์ต่าง ๆ ทรงตราขึ้นตามความเหมาะสม และความจำเป็นของแต่ละสมัยที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก การลงโทษผู้กระทำผิดในสมัยกรุงศรีอยุธยามีความรุนแรงมากถึงขั้นประหารชีวิต การประหารชีวิตโดยทั่วไป ใช้วิธีตัดศีรษะด้วยดาบ แต่ถ้าเป็นคดีกบฎประหารชีวิตด้วยวิธีที่ทารุณมาก การลงโทษหนักที่ไม่ถึงขั้นประหารชีวิตจะเป็นการลงโทษทางร่างกายให้เจ็บปวดทรมานโดยวิธีต่าง ๆ เพื่อให้เข็ดหลาบ
*********************************************************************************
<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-33368401944880051922012-09-16T08:20:00.007-07:002012-09-16T08:20:49.822-07:00แนวคำตอบข้อสอบวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทย
ให้ทำแบบทดสอบทุกข้อ ๆ ละ 25 คะแนน ภายในเวลา 3 ชั่วโมง ทดสอบวันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2555 เวลา 13.00-16.00 น.(เพื่อความพร้อมในการสอบปลายภาคและปรับปรุงวิธีการเขียน ต้องส่งคำตอบทุกคน)
*******************************************************************************
ข้อ 1. ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีการชำระสะสางกฎหมายอย่างไร กฎหมายที่กล่าวนั้นมีความเป็นมาและมีความสำคัญอย่างใด ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่มีผู้เรียกกฎหมายนั้นว่าเป็นประมวลกฎหมาย อธิบายพอเข้าใจ (35 คะแนน)
แนวคำตอบ
-มูลเหตุของการชำระกฎหมายตราสามดวง
กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในระยะแรกของกรุงรัตนโกสินทร์นั้นก็คือกฎหมายที่ใช้อยู่เมื่อครั้ง กรุงศรีอยุธยา โดยอาศัยความจำ และการคัดลอกมาตามเอกสารที่หลงเหลือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงทำการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ โดยอาศัยมูลอำนาจอธิปไตยของ พระองค์เองบ้าง อาศัยหลักฐานที่ได้จากการสืบสวน ฟังคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บ้างจนกระทั่งได้เกิดคดีขึ้นคดีหนึ่งและมีการทูลเกล้าฯถวายฎีกา คดีที่เกิดขึ้นนี้แม้เป็นคดีฟ้องหย่าของชาวบ้านธรรมดา แต่ที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์กฎหมาย ก็คือผลจากคดีนี้เป็นต้นเหตุให้นำมา ซึ่งการชำระสะสางกฎหมายในสมัยนั้น เป็นคดีที่อำแดงป้อม ฟ้องหย่านายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ทั้งๆ ที่ตนได้ทำชู้ กับ นายราชาอรรถ และศาลได้พิพากษาให้หย่าได้ตามที่อำแดงป้อมฟ้อง โดยอาศัยการพิจารณาคดีตามบทกฎหมาย ที่มีความว่า “ชายหาผิดมิได้ หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิงหย่าชาย หย่าได้”
เมื่อผลของคดีเป็นเช่นนี้ นายบุญศรีจึงได้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าถวายฎีกา ต่อพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ทรงเห็นด้วยกับฎีกาว่าคำพิพากษาของศาลนั้น ขัดหลักความยุติธรรม ทรงสงสัยว่าการพิจารณาพิพากษาคดีจะถูกต้องตรงตามตัวฉบับกฎหมายหรือไม่ จึงมีพระบรมราชโองการ ให้เทียบกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ศาลใช้กับฉบับที่หอหลวงและที่ห้องเครื่อง แต่ก็ปรากฏ ข้อความที่ตรงกัน เมื่อเป็นดังนี้ จึงทรงมีพระราชดำริว่ากฎหมายนั้นไม่เหมาะสม อาจมีความคลาดเคลื่อนจากการคัดลอก สมควรที่จะจัดให้มีการชำระสะสางกฎหมายใหม่ เหมือนการสังคายนา พระไตรปิฎกจากคดีอำแดงป้อมดังกล่าวข้างต้น ได้แสดงให้เห็นหลักกฎหมายสำคัญประการหนึ่งเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายที่ว่าแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ต้องให้ความสำคัญและปฏิบัติตามไม่มีพระราชอำนาจที่จะแก้ไข เปลี่ยนแปลงกฎหมาย ตามอำเภอใจ
ในคดีนี้แม้จะทรงเห็นว่าคำตัดสินนั้นไม่สอดคล้องกับความยุติธรรม อันอาจเนื่องมาจากการคัดลอกกฎหมายมาผิด ก็ชอบที่จะจัดให้มีการชำระสะสางกฎหมายให้กลับไปสู่ความถูกต้องเหมือนการสังคายนาพระไตรปิฎก ดังพระราชปรารภที่ว่า “ให้กรรมการชำระพระราชกำหนดบทพระอายการ อันมีอยู่ในหอหลวง ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์ไปให้ถูกถ้วน ตามบาฬีและเนื้อความ มิให้ผิดเพี้ยนซ้ำกัน ได้จัดเป็นหมวด เป็นเหล่าเข้าไว้ แล้วทรงอุตสาห ทรงชำระดัดแปลง ซึ่งบทอันวิปลาดนั้นให้ชอบโดยยุติธรรมไว้”กฎหมายตราสามดวง คือ ประมวลกฎหมายในรัชกาลที่ ๑ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ปฐมกษัตริย์แห่รัดังนั้นฎหมายตราสามดวง คือ กฎหมายในรัชกาลที่ ๑ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายเก่า แล้วรวบรวม เป็นประมวลกฎหมายขึ้นเมื่อ จุลศักราช ๑๑๖๖ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๔๗ โปรดให้เรียกว่า “กฎหมายตราสามดวง” ให้อาลักษณ์ชุบเส้นหมึกสามชุด แต่ละชุดประทับตรา ๓ ดวง คือ ตราราชสีห์ คชสีห์ และบัวแก้ว ไว้ทุกเล่มเก็บไว้ ณ ห้องเครื่องชุดหนึ่ง หอหลวงชุดหนึ่ง และศาลหลวงอีกชุดหนึ่ง เมื่อครั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง จัดพิมพ์เผยแพร่ เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๒ ม.เอร์ แลงกาต์ ดอกเตอร์กฎหมายฝรั่งเศส เป็นผู้ชำระกฎหมายตราสามดวงใหม่นั้น ได้สันนิษฐานว่าหนังสือฉบับหลวงชุดหนึ่งเป็นสมุดไทย ๔๑ เล่ม ฉะนั้น กฎหมายฉบับหลวงมีตราสามดวงซึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น จึงมี ๓ เล่ม ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง ๗๙ เล่ม เก็บไว้ที่กระทรวงยุติธรรม ๓๗ เล่ม หอสมุดแห่งชาติ ๔๒ เล่ม ส่วนอีก ๔๔ เล่ม ไม่ทราบว่า ขาดหายไปด้วยประการใด จากฉบับหลวง ตราสามดวง ๓ ชุด ดังกล่าวแล้ว
ความสำคัญของกฎหมายตราสามดวงกฎหมายตราสามดวง
กฎหมายตราสามดวงมีลักษณะเป็นกฎหมายของนักกฎหมาย (Juristenrecht) กล่าวคือ กฎเกณฑ์ส่วนใหญ่ของกฎหมายตราสามดวงโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นพระธรรมศาสตร์ ที่มีลักษณะทั่วไปและมีฐานะสูงกว่าจารีตประเพณี มีการจัดระบบกฎหมายที่เป็นระบบและมีการใช้เหตุผลของนักกฎหมายปรุงแต่ง
กฎหมายตราสามดวงมีลักษณะที่เป็นกฎหมายธรรมชาติ ทุกคนแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
ไม่มีการบัญญัติโดยแท้ บทกฎหมายใหม่นี้จึงเป็นผลงานของ นักกฎหมาย อันได้แก่ ศาลและพระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นนักกฎหมายด้วย ไม่ใช่กฎหมาย ที่บัญญัติขึ้นด้วยเหตุผลทางเทคนิค โดยกระบวนการนิติบัญญัติอย่างปัจจุบัน
มีความนับถือตัวบทกฎหมาย เชื่อว่าไม่มีใครสามารถแก้กฎหมายได้เพราะกฎหมายไม่ใช่สิ่งที่คนสร้างขึ้น แม้แต่กษัตริย์ก็แก้ไม่ได้ หากเห็นว่ากฎหมายนั้นไม่เหมาะสมจะใช้การชำระสะสางไม่ใช่ยกร่างขึ้นใหม่หรือแก้ไขกฎหมายเดิม
ไม่ใช่ประมวลกฎหมายที่มีเนื้อหาครอบคลุมทุกด้านเพราะเป็นที่รวมของบทกฎหมายที่ปรุงแต่งโดยนักกฎหมายและจารีตประเพณีที่สำคัญเท่านั้น การเรียกว่าประมวลกฎหมายตราสามดวงนั้นเป็นเพียงการใช้คำว่าประมวลเพื่อยกย่องเท่านั้นเป็นกฎหมายที่ใช้เป็นคู่มือในการชี้ขาดตัดสินคดีเพราะเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาพิพากษาคดี และใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นหลัก ไม่ใช่กฎหมายที่เขียนขึ้นในลักษณะตำรากฎหมาย
บางครั้งมีผู้เรียกกฎหมายตราสามดวงว่าเป็น ประมวลกฎหมายโบราณของไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตจำนวน ๑๑ คน นำตัวบทกฎหมายต่างๆ ที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มาชำระ และปรับปรุงแก้ไขตัวบทกฎหมายต่างๆ ให้มีความยุติธรรมและเหมาะสมกับยุคสมัยมากขึ้น โดยโปรดเกล้าฯ ให้ชำระขึ้น และได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๓๔๗* นอกจากจะนำกฎหมายเก่าที่ใช้กันในสมัยอยุธยามาชำระแล้ว ก็ยังได้ตรากฎหมายใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย แต่ข้าพเจ้าเห็นว่ากฎหมายตราสามดวงยังไม่อาจถือเป็นประมวลกฎหมายได้เพราะยังไม่ได้จัดหมวดหมู่กฎหมายอย่างชัดเจนเพียงพอประมวลกฎหมาย คือ กฎหมายซึ่งรวมบทกฎหมายต่าง ๆ ในเรื่องเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน และได้จัดให้มีการบัญญัติอย่างเป็นระบบ มีการจัดสรรให้เป็นหมวดหมู่อย่างเรียบร้อย และมีข้อความท้าวถึงซึ่งกันและกัน ซึ่งประมวลกฎหมายฉบับแรกของประแทศไทย ก็คือ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ซึ่งนับได้ว่าเป็นประมวลกฎหมายอาญาที่ทันสมัยมากในขณะนั้น เพราะได้นำหลักกฎหมายอาญาอันเป็นที่นิยมอยู่ในประเทศต่างๆมาพิจารณาดัดแปลงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของไทยอันเป็นการยกระดับประเทศขึ้นสู่ระดับอารยประเทศ
ประเทศไทยใช้กฎหมายตราสามดวงเป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนกระทั่งไทยต้องเผชิญกับลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษในพ.ศ. ๒๓๙๘ และทำสนธิสัญญาในลักษณะเดียวกันกับชาติตะวันตกอื่นๆ ชาติตะวันตกเหล่านั้นมีระบบกฎหมายที่แตกต่างไปจากกฎหมายของไทย และมองว่ากฎหมายไทยป่าเถื่อน จึงเรียกร้องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตจากไทย เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายไทยและศาลไทย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงต้องเร่งรีบปฏิรูปกฎหมาย และการศาลของไทยให้เป็นที่ยอมรับของชาติตะวันตก เพื่อไทยจะได้เอกราชทางกฎหมายและการศาลคืนมา โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งคณะกรรมการตรวจชำระกฎหมาย และจัดทำประมวลกฎหมายใหม่ขึ้น การชำระและการร่างกฎหมายใหม่นั้นได้กระทำอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะๆเมื่อกฎหมายลักษณะใดเสร็จ ก็ประกาศใช้ไปพลางๆ ก่อน จนใน พ.ศ. ๒๔๗๘ จึงประกาศใช้กฎหมายใหม่ได้ครบทุกลักษณะ และกฎหมายตราสามดวงก็ได้ยกเลิกไปในที่สุด
ข้อ 2. อธิบายโดยสังเขปถึงการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามที่ศึกษามาจากวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทยว่ามีกี่อย่าง อะไรบ้าง ยกตัวอย่างประกอบอย่างน้อย 2 ประการ (35 คะแนน)
แนวคำตอบ
แนวคิดและวิวัฒนาการในการออกเอกสารสิทธิที่ดินของประเทศไทย
1. ประวัติความเป็นมาของการออกเอกสารสิทธิที่ดิน
ที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน หมายความว่า พื้นที่ดินทั่วไปและให้หมายความรวมถึง
ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ลำน้ำ ทะเลสาบ เกาะและที่ชายทะเล ที่ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติ
ที่มีความสำคัญต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์อย่างยิ่ง ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต
โดยเฉพาะเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นทุกๆ วัน ขณะที่พื้นดินมีอยู่เท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม
เนื่องจากภัยธรรมชาติและการทำลายของมนุษย์ รัฐจึงต้องมีการออกเอกสารสิทธิในที่ดินเพื่อเป็น
การรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินแก่เจ้าของ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการโต้แย้งสิทธิในที่ดินและเป็น
หลักทรัพย์สำหรับเจ้าของที่ดินนั้น ซึ่งรับรองสิทธิหรือการออกเอกสารสิทธิที่ดินมีวิวัฒนาการมา
ตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา จนถึงปัจจุบันตามลำดับดังต่อไปนี้
1.1 สมัยกรุงสุโขทัย
ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง (ระหว่าง พ.ศ.1820 - 1860) พระองค์ทรงปกครองบ้านเมือง
ในรูปบิดาปกครองบุตร ทรงดำเนินนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจเกี่ยวกับการทำประโยชน์ในที่ดิน โดยให้พลเมืองเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเพื่อให้ได้พืชผลมาเป็นปัจจัยในการบริโภคและอุปโภคพอควรแก่ระดับการครองชีพในสมัยนั้น เมื่อราษฎรเข้าบุกเบิกหักร้างถางพงในที่ดินจนเพาะปลูกได้ผลประโยชน์แล้วก็โปรดให้ที่ดินนั้นๆ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ออกแรงออกทุนไปดังปรากฏในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ 1 ว่า
“ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึงชมสร้างป่าหมาก ป่าพลู ทั่วเมืองนี้ทุกแห่ง ป่าพร้าวก็หลาย
ในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้าง
ได้ไว้แก่มัน”
เมื่อเจ้าของที่ดินตายลงก็ยอมรับรองให้ทายาทบุตรหลานสืบมรดกตกทอดต่อกันไป
ดังข้อความในศิลาจารึกว่า
“ไพร่ฟ้าหน้าใส ลูกเจ้าลูกขุนผู้ใดแลล้มตายหายกว่า เหย้าเรือนพ่อเชื้อ เสื้อคำมัน ช้าง
ขอลูกเมียเยียข้าม ไพร่ฟ้าข้าไทย ป่าหมากป่าพลู พ่อเชื้อมันไว้แก่ลูกมันสิ้น” (100 ปี กรมที่ดิน, 2543,
หน้า 1)
1.2 สมัยกรุงศรีอยุธยา
1.2.1 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระเจ้าอู่ทอง ทรงมีพระบรมราชโองการให้ขุนเกษ
ตราธิบดี เสนาบดีกรมนาร่างกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จที่เกี่ยวกับที่ไร่ ที่นา เรือกสวน เมื่อ พ.ศ.1903
ดังนี้
บทที่ 35 มาตรา 33 “ถ้าผู้ใดโก่นสร้างเลิกรั้งที่ไร่นาเรือกสวนนั้นให้ไปบอกแก่
เสนานายระวาง นายอากรไปดูที่ไร่นาเรือกสวนที่โก่นสร้างนั้นให้รู้มากแลน้อยให้เสนานายระวาง
นายอากร เขียนโฉนดให้ไว้แก่ผู้เลิกรั้งโก่นสร้างนั้นให้รู้ว่าผู้นั้นอยู่บ้านนั้นโก่นสร้างเลิกรั้งตำบล
นั้นขึ้นในปีนั้นเท่านั้นไว้เป็นสำคัญ ถ้าแลผู้ใดลักลอบโก่นสร้างเลิกรั้งทำตามอำเภอใจตนเอง มิได้
บอกเสนานายระวาง นายอากร จับได้ก็ดี มีผู้ร้องฟ้องพิจารณาเป็นสัจไซร้ ให้ลงโทษ 6 สถาน”
บทที่ 42 “ที่ในแว่นแคว้นกรุงเทพมหานครศรีอยุธยามหาดิลกนพรัตน์ราชธานี
บุรีรมย์ เป็นที่แห่งพระเจ้าอยู่หัว หากให้ราษฎรทั้งหลายผู้เป็นข้าแผ่นดินอยู่จะได้เป็นที่ราษฎรหา
มิได้ และมีพิพาทแก่กันดังนี้ เพราะมันอยู่แล้ว มันละที่บ้านที่สวนมันเสียและมีผู้หนึ่งเข้ามาอยู่แล
ล้อมทำไว้เป็นคำนับแต่มันหากไปราชภารกิจสุขทุกข์ประการใดๆ ก็ดี มันกลับมาแล้วมันจะเข้าอยู่
เล่าไซร้ ให้คืนให้มันอยู่เพราะมันมิได้ซัดที่นั้นเสีย ถ้ามันซัดที่เสียช้านานถึง 9 ปี 10 ปี ไซร้ ให้แขวง
จัดให้ราษฎรซึ่งหาที่มิได้นั้นอยู่ อย่าให้ที่นั้นเปล่าเป็นทำเลเสีย อนึ่ง ถ้าที่นั้นมันปลูกต้นไม้อัญมณี
อันมีผลไว้ให้ผู้อยู่ให้ค่าต้นไม้นั้น ถ้ามันพูนเป็นโคกไว้ให้บำเหน็จซึ่งมันพูนนั้นโดยควร (ส่วนที่นั้น
มิให้ซื้อขายแก่กันเลย)....”
บทที่ 43 “ถ้าที่นอกเมืองหลวงอันเป็นแว่นแคว้นกรุงศรีอยุธยาใช่ที่ราษฎรอย่าให้ ซื้อขายแก่กันอย่าไว้ให้เป็นทำเลเปล่าแลให้นายบ้าน นายอำเภอ ร้อยแขวงและนายอากรจัดคนเข้าอยู่ในที่นั้น อนึ่ง ที่นอกเมืองทำรุดอยู่นานก็ดีและมันผู้หนึ่งล้อมเอาที่นั้นเป็นไร่เป็นสวนมัน มันได้ปลูกต้นไม้สรรพอัญมณีที่นั้นไว้ให้ลดอากรไว้แก่มันปีหนึ่ง พันกว่านั้นเป็นอากรหลวงแล”
ตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ 3 บทดังกล่าว สรุปหลักการใหญ่ๆ ได้ว่า
- โฉนดตามกฎหมายเบ็ดเสร็จเป็นใบอนุญาตที่นายเสนาระวาง นายอากรซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เขียนใบอนุญาตโฉนดให้ผู้ขอที่ดินยึดถือไว้เป็นคู่มือสำหรับที่ มิได้หมายความว่าผู้ถือโฉนดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดั่งเช่นในปัจจุบันแต่ออกให้เพื่อประโยชน์ในการเก็บภาษี
- ที่ดินทั้งในและนอกเมืองในแว่นแคว้นกรุงศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวราษฎรเป็นผู้ถือครองในฐานะผู้อาศัยเสียภาษีเป็นเสมือนค่าเช่า ห้ามมิให้ซื้อขายซึ่งกันและกัน
- ผู้ที่จะได้ที่ดินจะต้องขออนุญาตจับจองหรือทางราชการจัดให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องที่ดินดังกล่าวนี้ คือ กรมนาซึ่งเป็นกรมหนึ่งใน 4 กรมที่เรียกว่า จตุสดมภ์ คือ กรมเมือง (กรมเวียง) กรมวัง กรมคลังและกรมนา ทั้ง 4 กรมเป็นกรมใหญ่ประจำอยู่ส่วนกลาง ผู้บังคับบัญชาเป็นตำแหน่งเสนาบดี
1.2.2 สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991 - 2031) ได้ทรงตั้งเสนาบดี
เพิ่มอีก 2 ตำแหน่ง ในหนังสือพระราชพงศาวดารใช้คำว่า “เอาทหารเป็นสมุหกลาโหม เอาพลเรือนเป็น
สมุหนายก” คือ ทรงตั้งกระทรวงกลาโหมเป็นหัวหน้าส่วนราชการฝ่ายทหารทั่วไปกระทรวงหนึ่งระทรวงมหาดไทยเป็นหัวหน้าส่วนราชการฝ่ายพลเรือนทั่วไปกระทรวงหนึ่ง เสนาบดีทั้ง 2กระทรวงนี้มียศเป็นอัครมหาเสนาบดีสูงกว่าเสนาบดีจตุสดมภ์ ส่วนเสนาบดีจตุสดมภ์นั้นก็ได้พระราชทานนามใหม่ในพระราชพงศาวดารใช้คำว่า “เอาขุนเมืองเป็นพระนครบาล เอาขุนวังเป็นพระธรรมาธิกรณ์ เอาขุนนาเป็นพระเกสรตรธิบดี เอาขุนคลังเป็นพระโกษาธิบดี ให้ถือศักดินาหมื่น”
1.2.3 สมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2175) เรียกตำแหน่งเสนาบดีกรมนาว่า เจ้า
พระยายลเทพเทพเสนาบดีศรีไชยนพรัตน์เกษตราธิบดีอภัยพิริยะบรากรมพาหุ นามเจ้าพระยาพล
เทพ นามนี้ได้ใช้ตลอดมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์และได้มีการตราพระธรรมนูญตรากระทรวงขึ้นสำหรับใช้ในตำแหน่งเกษตราธิบดี 9 ดวง มีตรา 2 ดวงที่เกี่ยวกับงานที่ดิน คือ ตราเทพยดาทรงเครื่องยืนบนแทนถือเส้นเชือกใช้ไปรังวัดนาและชันสูตรนาซึ่งวิวาทกันและใช้ไปพระราชทานนาให้แก่ผู้มีบำเหน็จความชอบกับตรานัคลีอังคัลรูปพราหมณ์ทรงเครื่องแบกไถ สำหรับใช้ไปเลิกรั้งดงพงแขมกล่าวโดยสรุป หน้าที่ของกรมนาในสมัยกรุงศรีอยุธยามีอยู่กว้างขวางทั้งในหน้าที่บริหารและหน้าที่ตุลาการในทางบริหารมีหน้าที่จัดที่ดินซึ่งยังรกร้างเป็นทำเลเปล่าให้ราษฎรเข้าโก่นสร้างให้มีประโยชน์ขึ้นเขียนโฉนดไว้แก่ผู้โก่นสร้างที่ดิน มีหน้าที่เกี่ยวกับการชลประทานเก็บหางข้าวขึ้นฉางหลวงจัดเรื่องที่ดินเพื่อการศาสนาและแก่บุคคล ส่วนในทางตุลาการมีหน้าที่ระงับคดีวิวาทในเรื่องที่ดิน เช่น แย่งนากันทำ รวมถึงระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการลักเครื่องมือทำนา ลักแอก
ลักไถ เป็นต้น (100 ปีกรมที่ดิน, 2543, หน้า 25)
1.3 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
1.3.1 รัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 2 งานที่ดินยังคงดำเนินการเช่นเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยา
โดยมีกรมนาเป็นผู้รับผิดชอบเช่นเดิม
1.3.2 สมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านขึ้น กล่าวคือ ในปีจุล
ศักราช 1203 (ร.ศ.60 พ.ศ.2384) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่ามีการออกใบอนุญาตให้ราษฎรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินที่เรียกว่าโฉนด ออกให้ในที่ไร่ นา สวน ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นต้นมา ส่วนที่ดินเป็นที่บ้านที่อยู่อาศัยไม่มีการออกหนังสือสำคัญแต่อย่างใดและปรากฏมีกรณีพิพาทรุกล้ำกันอยู่เสมอ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านทำขึ้นทำเฉพาะภายในกำแพงพระนครขึ้นก่อนหากเป็นที่นิยมแพร่หลายก็ให้กระจายไปออกในหัวเมือง ลักษณะรูปแบบหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านเป็นหนังสือเขียนด้วยดินสอบนกระดาษข่อยต่อมาเปลี่ยนเป็นกระดาษฝรั่งแทน กระทรวงการนครบาลเป็นเจ้าหน้าที่ในการออกหนังสือสำคัญชนิดนี้ วิธีดำเนินการเมื่อมีผู้ขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านให้นายอำเภอไปทำการรังวัดแล้วประกาศโฆษณาหาผู้คัดค้านภายในเวลาที่กำหนดเมื่อไม่มีผู้ใด
โต้แย้งคัดค้านประการใดก็ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านให้ผู้ขอต่อไป ส่วนในหัวเมืองให้ผู้ว่าราชการเมืองหรือสมุหเทศาภิบาลเป็นผู้ดำเนินการและเมื่อมีการออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ใดก็ให้เปลี่ยนหนังสือสำคัญฉบับนี้สำหรับที่บ้านเป็นโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงสิทธิต่อไปหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านจึงไม่ใช่หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์หรือเพื่อเก็บภาษีอากรแต่อย่างใดแต่ออกให้เพื่อเป็นหลักฐานและขอบเขตที่ดินที่ตนปลูกบ้านอยู่อาศัยเท่านั้น
1.3.3 สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ตั้งแต่ พ.ศ.2394 -
2411) พระองค์ทรงปรับปรุงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน ส่วนราชการในด้านที่ดินนั้นคงมีการจัดทำโฉนดเช่นเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยาแต่ยังไม่ทั่วถึง เหตุว่าผู้ใดจะทำประโยชน์จะต้องไปขออนุญาตราษฎรมักไม่ขออนุญาตจึงทำให้การเก็บภาษีอากรขาดไปบ้าง ดังนั้นในปีจุลศักราช 1226 (ร.ศ.83 พ.ศ.2407) พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าให้ข้าหลวงเสนาออกไปทำการรังวัดที่นาโคดู่ คือนาหว่านที่ทำได้โดยอาศัยทั้งน้ำฝนและน้ำท่าเป็นนาที่ทำได้ผลดีบริเวณนาในท้องที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) อ่างทอง สุพรรณบุรี และลพบุรี ข้าหลวงเดินนาเป็นเจ้าหน้าที่ทำตราแดงหรือบางคนเรียกว่าโฉนดตราแดงมีความหมายเช่นเดียวกัน ลักษณะของตราแดงเป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินที่เป็นนาบอกตำบลที่ดินตั้งอยู่ ชื่อเจ้าของนา ระยะกว้าง ยาวจำนวนเนื้อที่อาณาเขตติดต่อข้างเคียงทั้งสี่ทิศมีชื่อข้าหลวงเดินนาซึ่งเป็นผู้ออกตราแดง โดยออกให้แก่เจ้าของนาเพื่อประโยชน์ในการเก็บเงินค่านามากกว่าที่จะให้เป็นหนังสือสำหรับแสดงกรรมสิทธิ์ กล่าวคือ เมื่อออกตราแดงให้เจ้าของนาไปแล้วจะได้เก็บเงินค่านาตามจำนวนที่ดินในตราแดงนั้นทุกๆ ปี แต่ก็เป็นหลักฐานในเรื่องสิทธิในที่ดินอยู่บ้างที่แสดงว่าผู้มีชื่อในตราแดงนั้นเป็นเจ้าของนาอาจมีการสืบมรดกตกทอดกันต่อๆ ไปจนถึงลูกหลาน ต่อมาได้มีการออกพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) เพื่อเปลี่ยนตราแดงเป็นโฉนดที่ดินทั้งหมดในสมัยนี้ได้มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดที่ให้ขาย ให้เช่าแก่คนนอกประเทศตามประกาศ ณ วันพฤหัส ขึ้นสองค่ำ เดือนเจ็ด ปีมะโรง นักษัตรอัฐศกศักราช 1218 (พ.ศ.2399) มีหลักการว่าที่ดินภายในพระนครและห่างกำแพงพระนครออกไปในรัศมี 200 เส้นห้ามไม่ให้ผู้ใดขายที่ดินแก่คนต่างประเทศที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยไม่ถึง 10 ปี หากผู้ใดมีความจำเป็นอาจได้รับอนุญาตจากเสนาบดีจึงจะขายได้ เหตุผลที่มีการประกาศห้ามไม่ให้ขายที่ดินแก่คนต่างด้าวนั้น
เนื่องมาจากในรัชสมัยของพระองค์มีชาวต่างประเทศเข้ามาทำมาหากินในเมืองไทยและซื้อที่ดินเพื่ออยู่อาศัยทำกินและเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองในประเทศไทยมากขึ้นและประเทศเพื่อนบ้านก็ได้สูญเสียเอกราชไปเนื่องจากยอมให้กองทัพและขบวนการค้าขายที่ซ่อนนโยบายขยายอำนาจหาเมืองขึ้นไว้เป็นฉากหลังมาตั้งมั่นอยู่ในบ้านเมืองพอได้โอกาสก็ยึดอำนาจเอาบ้านเอาเมืองเสีย ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงห้ามมิให้ขายที่ดินแก่คนต่างด้าวภายในรัศมี 200 เส้น จากพระนครดังกล่าวแล้วข้างต้นและได้มีประกาศเรื่องฝรั่งทำหนังสือสัญญาลงวันพฤหัส แรมค่ำหนึ่ง เดือนเจ็ด ปีมะโรงนักษัตรอัฐศก บัญญัติเรื่อง คนสัญชาติฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกา และคนในบังคับดังกล่าวจะซื้อหรือเช่าที่ดิน นอกจากนี้ยังมีประกาศขายสวน ขายนา ฝากแก่กัน ตามประกาศ ณ วันอาทิตย์ แรมสิบเอ็ดค่ำ ปีขาล อัฐศกศักราช 1228 (ร.ศ.85 พ.ศ.2409) โดยมีใจความสำคัญสรุปได้ว่า การขายฝากหรือการจำนำที่สวนที่นาถ้าผู้ขายหรือผู้จำนำได้มอบโฉนดตราแดงหรือหนังสือสำคัญอื่นๆ ให้แก่ผู้ซื้อหรือผู้รับจำนำก็ให้ที่ดินนั้นตกเป็นของผู้ซื้อหรือผู้รับจำนำถ้าไม่ได้มอบก็ไม่ตก (100 ปีกรมที่ดิน,
2543, หน้า 32)
1.4 สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยมหาราช เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเมื่อปี พ.ศ.2411 โดยมีสมเด็จพระเจ้ายาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะยังทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงครองราชย์เป็นเวลานานถึง 42 ปี (พ.ศ.2411 - 2453) ทรงปกครองทำนุบำรุงสร้างความเจริญก้าวหน้าแก่บ้านเมืองนานัปการ อาทิเช่น ทรงเลิกทาส ดำเนินวิเทโศบายฉลาดลึกซึ้งทำให้ชาติปลอดภัยจากการรุกรานแสดงอาณานิคมของมหาอำนาจทรงวางรากฐานปกครองระบอบประชาธิปไตย ทรงเป็นนักปกครองยอดเยี่ยมปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขการปกครอง การศาล ตั้งกระทรวง กรม ได้แก่ กรมมหาดไทย กรมพระกลาโหมกรมท่า กรมวัง กรมเมือง กรมนา กรมพระคลัง กรมยุติธรรม กรมยุทธนาธิการ กรมธรรมการ และกรมมุรธาธิการ วางพื้นฐานในทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและอื่นๆ มากมาย สำหรับราชการในหน้าที่ที่เกี่ยวกับที่ดินพระองค์ทรงวางพื้นฐานในการปรับปรุงสิทธิของผู้ถือครองที่ดินได้ตรวจบทกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินออกใช้บังคับหลายฉบับกระทำในรูปประกาศพระบรมราชโองการบ้างในรูปพระราชบัญญัติบ้างโดยมีความมุ่งหมายที่จะให้เจ้าของที่ดินผู้ลงทุนแรงทำประโยชน์ในที่ดินได้รับความเป็นธรรมและป้องกันระงับข้อวิวาทบาดหมางเนื่องจากการแย่งสิทธิในที่ดินกัน กฎหมายเกี่ยวกับที่ดินที่สำคัญก็คือประกาศออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.120 (พ.ศ.2444) และพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ดินใช้บังคับจนถึง พ.ศ.2497 หนังสือสำคัญสำหรับที่ดินออกใช้ในรัชกาลที่ 5 มีดังต่อไปนี้ คือ โฉนดสวน โฉนดป่า ใบเหยียบย่ำ ตราจอง โฉนดตราจอง โฉนดแผนที่ โฉนดที่ดิน
1.4.1 โฉนดสวน เป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินออกตามประกาศซึ่งจะเดินสวนจุลศักราช 1236 (ร.ศ.93 พ.ศ.2417) โดยเจ้าพระยาภาสกรวงษ์ ผู้ว่าการกรมนาเป็นผู้จัดการ โดยพระบรมราชโองการตั้งข้าราชการหลายเหล่าจำนวน 8 นาย เป็นข้าหลวงไปดำเนินการรังวัดที่สวนสำรวจต้นผลไม้ยืนต้นที่มีอายุเกิน 3 ปีขึ้นไปต้องเสียอากรสวน คือ หมาก พลู มะปราง มะม่วงทุเรียน มังคุด ลางสาด ส่วนต้นไม้อื่นๆ ที่อยู่ในสวนนั้นไม่ต้องเสียอากร การสำรวจสวนมีกำหนดทำการสำรวจทุกๆ 10 ปี หรือเปลี่ยนรัชกาลใหม่ได้ครบกำหนด 3 ปี อีกครั้งหนึ่งการออกโฉนดสวนออกให้แก่เจ้าของสวน มิได้เกี่ยวถึงนาและที่อื่นๆ มีความมุ่งหมายในการเก็บอากรสวนเท่านั้นลักษณะของโฉนดสวนเป็นแบบพิมพ์มีต้นขั้วมีสาระสำคัญที่ตั้งที่ดิน ชื่อเจ้าของสวน รายชื่อข้าหลวงจำนวน 8 นาย จำนวนต้นผลไม้ ทั้ง 7 ชนิด ดังกล่าว แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือชนิดไม้ใหญ่และไม้เล็ก จำนวนเงินต้องเสียอากรสวน วันเดือนปีที่ออกโฉนด ประทับตราให้ไว้เป็นสำคัญถ้าโฉนดสวนเป็นอันตรายสูญเสียเจ้าของสวนขอออกใบแทนได้
1.4.2 โฉนดป่า เป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินชนิดหนึ่งซึ่งออกในยุคเดียวกับโฉนดสวนออกให้ในที่ดินที่ปลูกพรรณไม้ชนิดเล็กและที่ไม่อยู่ในลักษณะที่จะต้องเสียอากรต้นผลไม้โฉนดป่าออกในที่ปลูกพืชล้มลุก (ไม่ใช่ต้นไม้ 7 ชนิดที่ออกโฉนดสวน) เช่นสวนผักต่างๆ สวนอ้อยหรือสวนจาก เป็นต้น โดยมีบัญชีต้นไม้โฉนดป่าเจ้าเมืองกรรมการเป็นผู้ออกให้มิได้เกี่ยวกับข้าหลวงเสนาอย่างใด การเก็บอากรโฉนดป่าเก็บตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุไว้
1.4.3 ใบเหยียบย่ำ เป็นหนังสือที่เป็นใบอนุญาตให้จองที่ดินเพื่อให้ผู้ขอเข้าครอบครองทำที่ดินให้เกิดประโยชน์ในสมัยนี้ได้มีการออกใบเหยียบย่ำมาหลายแบบ ดังนี้1) ใบเหยียบย่ำอย่างเก่าก่อน ร.ศ.117 (พ.ศ.2441) เป็นใบอนุญาตให้ราษฎรจับจองเข้าหักร้างถางพงทำประโยชน์ในที่ดินแต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายหรือข้อบังคับฉบับใดและไม่มีระเบียบวิธีการปฏิบัติไว้โดยแน่นอนแต่เป็นที่เข้าใจว่าน่าจะเป็นการจับจองซึ่งออกตามพระราชบัญญัติสำหรับผู้รักษาเมืองกรมการและเสนากำนันอำเภอ ซึ่งจะออกเดินประเมินนา จุลศักราช 1244 (ร.ศ.101 พ.ศ.2424) ผู้ใดมีความประสงค์จะขอที่ดินทำกินก็ให้ไปบอกเสนากำนันซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ กำนันตรวจสอบและพิจารณาเห็นควรก็ออก ใบ
เหยียบย่ำ ใบเหยียบย่ำชนิดนี้เขียนด้วยเส้นดินสอบนกระดาษข่อยมีจำนวนเนื้อที่ที่ขอจับจองไม่เกิน100 ไร่ กำหนดให้ทำประโยชน์ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ถ้าผู้ถือใบเหยียบย่ำไม่ทำประโยชน์ภาย ในกำหนด 1 ปี เป็นอันสิ้นสิทธิการจับจองแต่ถ้าได้ทำประโยชน์เพียงใดก็ได้ไปเฉพาะที่ดินที่ทำประโยชน์เท่านั้น 2) ใบเหยียบย่ำตามข้อบังคับการหวงห้ามที่ดิน ร.ศ.117 (พ.ศ.2441) นายอำเภอเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในการออกใบเหยียบย่ำ ใบเหยียบย่ำชนิดนี้มีกำหนดอายุ 12 เดือน เมื่อครบกำหนดขอต่ออายุใหม่ได้ทุกรอบ 12 เดือน ถ้าผู้ถือใบเหยียบย่ำมีความประสงค์จะปันแลกเปลี่ยนหรือขายที่ดินแก่ผู้อื่นก็ให้นำใบเหยียบย่ำไปขอเปลี่ยนเจ้าของต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้โดยทำสัญญาและสลักหลังในใบเหยียบย่ำ ส่วนผู้รับโอนย่อมมีสิทธิในการจับจองที่ดินตามอายุของใบเหยียบย่ำเสมือนเป็นผู้ถือมาแต่เดิมหากใบเหยียบย่ำเป็นอันตรายสูญหายก็ขอรับใบแทนใหม่ได้
3) ใบเหยียบย่ำออกตามกฎกระทรวงเกษตราธิการ ร.ศ.120 (พ.ศ.2444)หมวดที่ 8
ว่าด้วยการจับจองที่ดินตามความในข้อ 15 แห่งประกาศกระแสพระบรมราชโองการเรื่องออกโฉนด
ที่ดิน ประกาศเมื่อวันที่ 15 กันยายน ร.ศ.120 (พ.ศ.2444) ความว่าถ้าผู้ใดจะขอจับจองที่ดินว่างเปล่า
ในท้องที่ที่ได้ออกโฉนดอย่างใหม่ (โฉนดแผนที่) แล้วให้ผู้นั้นปักไม้แก่นหมายเขตทุกมุมที่แล้วเชิญ
กำนันผู้ปกครองท้องที่พร้อมทั้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงกับที่ที่จอขอจับจองไม่ต่ำกว่า 2 คน ไปเป็น
พยานชันสูตรที่นั้นแล้วทำเรื่องราวขอจับจองยื่นต่อกรมการอำเภอผู้ปกครองท้องที่ เมื่อกรมการ
อำเภอได้รับเรื่องราวและพิจารณาเห็นเป็นการถูกต้องแล้วก็ให้ออกใบเหยียบย่ำให้แก่ผู้จับจองไป
และให้ปิดประกาศโฆษณาที่การขอจับจองที่รายนั้นไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอและที่ว่าการกำนันนาย
ตำบลนั้นด้วยใบเหยียบย่ำนั้นต้องลงนามและประทับตราตำแหน่งนายอำเภอเป็นสำคัญและลงนาม
กำนันนายตำบลที่นั้นเป็นพยานด้วยใบเหยียบย่ำชนิดนี้ให้มีกำหนด 1 ปี มีระเบียบให้ต่ออายุได้ แต่ผู้
ถือจะโอนให้ผู้อื่นต่อไปอีกไม่ได้และแม้จะได้ออกใบเหยียบย่ำให้แก่ผู้ใดไปแล้วก็ดีถ้าความปรากฏ
ภายหลังว่าที่ดินที่อนุญาตให้จับจองเป็นที่ซึ่งรัฐบาลยังไม่มีความประสงค์จะให้ผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ก็
อาจไม่ยอมให้จับจองต่อไปอีกก็ได้หรือถ้าปรากฏว่าจับจองที่ดินมากกเกินกำลังความสามารถที่จะ
ทำให้ที่ดินเกิดประโยชน์ได้จะจับจองแต่พอสมควรก็ได้
4) ใบเหยียบย่ำ ออกตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2451)
หมวดที่ 11 ว่าด้วยการจับจองที่ดิน มีวิธีดำเนินการเช่นเดียวกับใบเหยียบย่ำออกตามกฎ กระทรวง
เกษตราธิการ ร.ศ.120 (พ.ศ.2444) กล่าวคือใบเหยียบย่ำนี้ออกให้แก่ผู้ขอจับจองในเขตที่ ดินที่มีการ
ออกโฉนดแผนที่แล้วนายอำเภอเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่และโอนสิทธิการจับจองไม่ได้จำกัดจำนวน
ให้จับจองตามกำลังความสามารถของผู้ขอจับจองเท่าที่จะเห็นสมควรต่อมามีพระราชบัญญัติออก
โฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2479 แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการจับจองที่ดินให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างจริงจังโดยกำหนดที่ดินที่จะอนุญาตให้จับจองต้องเป็นที่ดินรกร้างว่าง
เปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินคือที่ดินที่ไม่มีผู้ใดเข้าครอบครองเป็นเจ้าของ เช่น ที่ป่ารก
ทุ่งว่าง เป็นต้น สาระสำคัญและประทับตราตำแหน่งนายอำเภอ ชื่อผู้ขอจับจอง ที่อยู่ สัญชาติ เชื้อ
ชาติ ชื่อบิดามารดาของผู้ได้รับอนุญาตตำแหน่งแห่งที่ดิน ปริมาณเนื้อที่และเขตที่ดินเนื้อที่ที่อนุญาต
ให้จับจองดังนี้
- นายอำเภออนุญาตได้ไม่เกิน 50 ไร่
- ข้าหลวงประจำจังหวัด (ผู้ว่าราชการจังหวัด) อนุญาตให้จับจองได้ไม่เกิน 100 ไร่
ใบเหยียบย่ำที่มีอายุ 2 ปี ถ้าไม่ทำประโยชน์ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเป็นอันสิ้นสิทธิการจับจองเฉพาะส่วนที่ไม่ได้ทำประโยชน์โอนไม่ได้เว้นแต่จะตกทอดทางมรดก
1.4.4 ตราจอง เป็นใบหนังสืออนุญาตให้จองที่ดินเพื่อให้ผู้ขอเข้าใช้ประโยชน์ใน
ที่ดิน
1) ตราจองออกตามพระราชบัญญัติสำหรับผู้รักษาเมืองกรมการแลเสนากำนัน
อำเภอ ซึ่งจะออกเดินประเมินนา จุลศักราช 1236 (ร.ศ.93 พ.ศ.2417) ข้าหลวงกรมนาเป็นผู้ออกให้
อายุ 3 ปี ซึ่งมีบัญญัติไว้ในข้อ 11 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวว่าถ้า“ผู้ใดจับจองนาฟางลอยใน กรุงเทพมหานครและหัวเมืองไว้มากทำแต่น้อยไม่เต็มเนื้อที่ทิ้งให้รกร้างว่างเปล่าพ้น 3 ปี ไปก็ดีหรือที่ได้ทำนาอยู่แล้วภายหลังไม่ทำทิ้งไว้พ้น 3 ปี ไปให้ขาดผลประโยชน์ในแผ่นดินถ้าผู้ใดจะไปทำนาในที่นั้นก็ให้มาบอกต่อมาเสนาผู้รักษาเมืองกรมการกำนันไปปักเสาทำสำคัญประทับตราให้นาเป็นสิทธิแก่ผู้ทำต่อไปเจ้าของเดิมมาว่ากล่าวประการใดห้ามอย่าให้เสนาผู้รักษาเมืองกรมการคืนนานั้นให้เป็นอันขาดทีเดียว ฯลฯ”ข้าหลวงกรมนานี้แต่เดิมมาได้มีการแต่งตั้งให้มีหน้าที่ออกเดินสำรวจเก็บเงินค่านาปีละหนึ่งครั้งและมีหน้าที่ออกตราจองให้แก่ผู้ทำนาด้วย ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการเก็บเงินที่นา ต่อมาการเก็บเงินค่านาเป็นหน้าที่ของกรมสรรพากร กระทรวงการคลังจึงเลิกข้าหลวงกรมนานั้นเสีย
2) ตราจองที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าหลวงขุดคลอง
ออกให้แก่ราษฎรที่ช่วยขุดคลองตามประกาศขุดคลอง จุลศักราช 1239 (ร.ศ.96 พ.ศ.2420) ซึ่งทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าหลวงออกไปตรวจหาที่ซึ่งมีที่ดินอุดมดีขุดคลองขึ้น
ตำบลใดราษฎรทั้งปวงที่ต้องการที่ดินมากน้อยเท่าใดก็ให้ผู้ที่ต้องการนั้นออกเงินช่วยในการขุด
คลองบ้างตามสมควรแก่ที่มากและน้อยถ้าไม่ออกเงินก็ให้ออกแรงช่วยและข้าหลวงจะได้ออกตรา
จองให้แก่ราษฎรผู้นั้น ตราจองที่ออกให้แก่ราษฎรที่ช่วยขุดคลองนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรด
กระหม่อมเพิ่มอายุตราจองขึ้นกว่าพระราชกำหนดเดิมอีก 2 ปี เป็น 5 ปี ถ้าครบ 5 ปีแล้วผู้ใดไม่ทำ
สวนทำไร่ในที่ตราจองนั้นให้เกิดผลประโยชน์แก่แผ่นดินทิ้งรกร้างว่างเปล่าไม่เป็นประโยชน์สิ่งใด
ข้าหลวงจะเรียกเอาตราจองนั้นคืน คลองที่ขุดได้แก่ คลองในทุ่งหลวง คลองรังสิต คลองประเทศบุรี
รมย์ คลองนครเขื่อน เป็นต้น
3) ตราจองชั่วคราว ออกตามพระราชบัญญัติออกตราจองที่ดินชั่วคราว ร.ศ.121
(พ.ศ.2445) ต่อมามีประกาศเปลี่ยนนามเป็นพระราชบัญญัติออกโฉนดตราจอง ร.ศ.124 (พ.ศ.2448) เรียกตราจองดังกล่าวว่า โฉนดตราจองโฉนดตราจอง เป็นหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินออกตามพระราชบัญญัติออกโฉนดตราจองและให้ใช้ในมณฑลพิษณุโลก ร.ศ.124 (พ.ศ.2448) พระราช บัญญัติดังกล่าวใช้เฉพาะในท้องที่จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร สุโขทัยและอุตรดิตถ์ (ปัจจุบันรวมจังหวัด
นครสวรรค์ด้วยเพราะมีการโอนเขตจังหวัดข้างเคียงมารวมกับจังหวัดนครสวรรค์รวมเป็น 5 จังหวัด
ทีโฉนดตราจอง) ต่อมาทางราชการได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปทำการเดินสำรวจฯ เพื่อเปลี่ยนโฉนดตราจองเป็นโฉนดแผนที่โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2493 เป็นต้นมา¬
1.4.5 โฉนดแผนที่ เป็นหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินออกตามประกาศออกโฉนด
ที่ดิน ร.ศ.120 (พ.ศ.2444) และออกตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2453) โฉนดแผนที่มีแผนที่จำลองไว้ในหลังโฉนด ที่เรียกว่าโฉนดแผนที่ก็เพื่อแตกต่างจากโฉนดสวน โฉนดป่า
โฉนดตราแดง (ออกสมัยรัชกาลที่ 4) ซึ่งเป็นโฉนดอย่างเก่าที่ไม่มีแผนที่หลังโฉนดกล่าวคือ เมื่อทางราชการได้มีการออกโฉนดแผนที่ในท้องที่ใดก็บังคับให้ผู้ถือที่ดินมือเปล่าและผู้ถือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินอย่างอื่นต้องนำรังวัดที่ดินเพื่อรับโฉนดแผนที่หรือเปลี่ยนหนังสือสำหรับที่ดินเดิมเป็นรับโฉนดแผนที่ชนิดเดียวกันเสียทั้งหมด ดังปรากฏตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) ซึ่งบัญญัติว่า“ในบัดนี้มีความประสงค์จะเปลี่ยนหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินเป็นโฉนดแผนที่ทั้งหมดเพราะเหตุฉะนั้น จึงให้เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการมีอำนาจแจ้งความในราชกิจจาให้เจ้าของที่มารับโฉนดหรือเปลี่ยนโฉนดได้ทุกแห่งทุกตำบล ถ้าผู้ใดขัดขืนไม่ช่วยพนักงานกระทำการรังวัดหรือการออกโฉนดแผนที่ให้สะดวกอย่างใดให้มีโทษปรับครั้งละ 100 บาท ลงมาเป็นพินัย
แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร”
1.4.6 โฉนดที่ดิน เป็นหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีประวัติความเป็นมาเริ่ม
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากมีปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินขึ้นสู่ศาลบ่อยผลของการจัดระเบียบที่ดินเน้นหนักไปในทางแง่สำรวจตรวจเก็บภาษีอากรเกี่ยวกับที่ดินโดยเจ้าหน้าที่ผู้เก็บภาษีอากรออกหนังสือสำคัญให้เจ้าของที่ดินยึดถือไว้นั้นไม่อาจระงับข้อพิพาทโต้แย้งในปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ได้เพราะหนังสือสำคัญของเจ้าพนักงานภาษีอากรมีข้อความไม่กระจ่างว่าผู้ใดมีสิทธิอยู่ในดินเพียงใดอย่างใด ส่วนมากมักจะระบุแต่ว่าได้ทำเอาสินปลูกผลพืชพันธุ์อะไรอันควรเรียกเก็บอากรได้บ้างจึงไม่เป็นหลักฐานพอที่จะใช้สืบยันสิทธิกันระหว่างคู่พิพาทได้ พระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกระทรวงเกษตรพาณิชยการ (เดิมคือกรมนา แต่ได้ยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง) และได้โปรดเกล้าฯ ย้ายนายพลโทเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต)จากกรมยุทธนาธิการมาเป็นเสนาบดีของพระยาประชาชีพบริบาล (ผึ่ง ชูโต) ขณะนั้นยังไม่มี
บรรดาศักดิ์ซึ่งเป็นเสมียนตราอยู่ในกรมนานั้นขึ้นเป็นปลัดทูลฉลองจัดดำเนินงานในเรื่องสิทธิในที่ดินให้รัดกุมขึ้นแต่การที่จะสร้างหลักฐานเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินให้เห็นได้ชัดแจ้งลงไว้ในโฉนดจะต้องมีการทำแผนที่ระวางรายละเอียด เรียกว่า คาดัสตรัลเซอร์เวย์ (Cadastral Survey) ซึ่งเวลานั้นยังจะจัดให้ลุล่วงไปโดยเร็วมิได้เพราะช่างแผนที่มีอยู่น้อย การทำหลักฐานเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินจึงยังชะงักอยู่
ข้อ 3. การอำนวยความยุติธรรมของศาลและวิธีพิจารณาคดีความในสมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตามที่ได้ศึกษามามีเป็นประการใดบ้าง (30 คะแนน)
แนวคำตอบ
- สมัยกรุงสุโขทัย
ในสมัยนี้บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ดังคำพังเพยที่ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ประชาชนพลเมืองมีน้อย อยู่ในศีลในธรรมคดีความจึงมีไม่มาก พระมหากษัตริย์กับประชาชนมีความใกล้ชิดกัน พระมหากษัตริย์จึงทรงตัดสินคดีความด้วยพระองค์เองเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มี หลักฐานจากศิลาจารึกว่า พระมหากษัตริย์ได้ทรงมอบให้ขุนนางตัดสินคดีแทนด้วย ในสมัยนี้พอมีหลักฐานเกี่ยวกับการพิจารณาคดีจากหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง “ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปก กลางบ้านกลางเมืองมีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจมันจักกล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียก เมื่อถามสวนความแก่มันด้วยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึงชม ไพร่ฟ้า ลูกเจ้า ลูกขุนผิแลผิแผกแสกว้างกัน สวนดูแท้แล้วจึงแล่งความแก่ข้าด้วยซื่อ บ่อเข้าผู้ลักมักผู้ซ่อนเห็นข้าวท่านบ่อใคร่พิน เห็นสินท่านบ่อใคร่เดือด” จากศิลาจารึกนี้ทำให้ทราบว่า การร้องทุกข์ในสมัยนั้นร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์โดยตรง และพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ไต่สวนพิจารณาคดีด้วยพระองค์เอง หรือให้ขุนนางเป็นผู้ไต่สวนให้ถ่องแท้และตัดสินคดีด้วยความเป็นธรรม ไม่ลำเอียงและไม่รับสินบน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญใน การพิจารณาคดีในสมัยนั้น สำหรับสถานที่พิจารณาคดีที่เรียกว่า ศาลยุติธรรมนั้นในสมัยสุโขทัยไม่ปรากฏว่ามีศาล ตัดสินคดีเหมือนในสมัยนี้ แต่ก็มีหลักฐานจากหลักศิลาจารึกว่า ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงทรงใช้ ป่าตาลเป็นที่พิจารณาคดี ซึ่งพอเทียบเคียงได้ว่าเป็นศาลยุติธรรมในสมัยนั้น “1214 ศก ปีมะโรง พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยนี้ ปลูกไม้ตาลนี้ได้ 14 เท่า จึงให้ช่างฟันกระดาษเขียนตั้งหว่างกลางไม้ตาลนี้ วันเดือนดับเดือนหก 8 วัน วันเดือนเต็มเดือนบั้ง ฝูงปู่ครูเถร มหาเถรขึ้นนั่งเหนือกระดานหินสวดธรรมแก่อุบาสก ฝูงถ้วยจำศีล ผิใช่วันสวดธรรม พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยขึ้นนั่งเหนือกระดาษหิน ให้ฝูงถ้วยลูกเจ้า ลูกขุน ฝูงถ้วยถือบ้านถือเมือง ในกลางป่าตาลมีศาลา 2 อัน อันหนึ่งชื่อศาลพระมาส อันหนึ่งชื่อพุทธศาลา กระดานหินนี้ชื่อมนังคศิลาบาท” จากศิลาจารึกนี้พอเทียงเคียงได้ว่า ป่าตาลเป็นศาลยุติธรรม สมัยสุโขทัย และพระแท่นมนังคศิลาบาทเป็นเสมือนบัลลังก์ศาลในสมัยนั้น สำหรับกฎหมายที่ใช้ในสมัยสุโขทัยซึ่งปรากฎในศิลาจารึกหลักที่หนึ่งนั้น มีลักษณะคล้ายกฎหมายในปัจจุบัน เช่น กฎหมายกรรมสิทธิ์ที่ดิน “หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มัน” กฎหมายพาณิชย์ “ใครจะใคร่ค้าม้าค้า ใครจะใคร่ค้าเงินค้า ค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส” นอกจากนั้นแล้วในหลักศิลาจารึกยังกล่าวถึงกฎหมายลักษณะโจรและการลงโทษ เช่น ขโมยข้าทาสของผู้อื่น “ผิผู้ใดหากละเมิน และไว้ข้าท่านพ้น 3 วัน คนผู้นั้นไซร้ท่านจะให้ไหมแลวันแลหมื่นพัน” นอกจากกฎหมายต่าง ๆ ที่มีลักษณะเหมือนกฎหมายปัจจุบันแล้ว ยังใช้กฎหมายคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ของอินเดียด้วย สำหรับการลงโทษในสมัยสุโขทัยตามหลักศิลาจารึก กฎหมายลักษณะโจรมีโทษเพียง ปรับเท่านั้น ไม่มีหลักฐานการลงโทษที่รุนแรงถึงตาย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ ประชาชนมีไม่มากและเป็นผู้ที่เคร่งครัดอยู่ในศีลในธรรมตามหลักพุทธศาสนา ประชาชนจึงอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
-สมัยกรุงศรีอยุธยา
ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี บ้านเมืองก็เจริญขึ้นตามลำดับ ราษฎรก็เพิ่มมากขึ้น ทำให้พระราชภารกิจของพระมหากษัตริย์มีมากขึ้น จึงมิอาจทรงพระวินิจฉัยคดีความด้วยพระองค์เองได้อย่างทั่วถึงเช่นกาลก่อน จึงทรงมอบอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยอรรถคดีของอาณาประชาราษฎร์ให้แก่ ราชครู ปุโรหิตา พฤฒาจารย์ ซึ่งเป็นมหาอำมาตย์พราหมณ์ในราชสำนักและเสนาบดีต่าง ๆ เป็นผู้ว่าการยุติธรรมต่างพระเนตรพระกรรณ ทำให้พระมหากษัตริย์ไม่อาจใกล้ชิดกับราษฎรเหมือนสมัยสุโขทัย แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะดูเหมือนห่างไกลจากราษฎร แต่ว่าบทบาททางด้านการยุติธรรมนั้นกลับดูใกล้ชิดกับราษฎรอย่างยิ่ง โดยทรงเป็นที่พึงสุดท้ายของราษฎร ถ้าราษฎรเห็นว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรมในการพิจารณาคดีก็มีสิทธิที่จะถวายฎีกา เพื่อขอให้พระมหากษัตริย์พระราชทานความเป็นธรรมแก่ตนได้ ซึ่งเป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน และเมื่อพระมหากษัตริย์ทรง พระวิจารณญาณวินิจฉัยอรรถคดีใดด้วยพระองค์เอง พระบรมราชวินิจฉัยในคดีนั้นก็เป็นบรรทัดฐานที่ศาลสถิตย์ยุติธรรมพึงถือปฏิบัติสืบต่อมา ผู้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการยุติธรรมแทนพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมี 3 กลุ่มได้แก่ ลูกขุน ณ ศาลหลวง ตระลาการ ผู้ปรับ การพิจารณาคดีในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้กล่าวหาหรือผู้ที่จะร้องทุกข์ต้องร้องทุกข์ต่อจ่าศาลว่าจะฟ้องความอย่างไรบ้าง จ่าศาลจะจดถ้อยคำลงในหนังสือแล้วส่งให้ลูกขุน ณ ศาลหลวงพิจารณาว่า เป็นการฟ้องร้องตามกฎหมายควรรับไว้พิจารณาหรือไม่ ถ้าเห็นควรรับไว้พิจารณาจะพิจารณาต่อไปว่า เป็นหน้าที่ของศาลกรมไหนแล้วส่งคำฟ้องและตัวโจทก์ไปยังศาลนั้น เช่น ถ้าเป็นหน้าที่กรมนา จะส่งคำฟ้องและโจทก์ไปที่ศาลกรมนา ตระลาการศาลกรมนาก็จะออกหมายเรียกตัวจำเลยมาถามคำให้การไต่สวนเสร็จแล้วส่งคำให้การไปปรึกษาลูกขุน ณ ศาลหลวงว่ามีข้อใดต้องสืบพยานบ้าง เมื่อลูกขุนส่งกลับมาแล้ว ตระลาการก็จะทำการสืบพยานเสร็จแล้วก็ทำสำนวนให้โจทก์และจำเลยหยิกเล็บมือที่ดินประจำผูกสำนวน เพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าเป็นสำนวนของโจทก์ จำเลย แล้วส่งสำนวนคดีไปให้ลูกขุน ณ ศาลหลวง ลูกขุน ณ ศาลหลวงจะพิจารณาคดีแล้วชี้ว่าฝ่ายใดแพ้คดี เพราะเหตุใดแล้วส่งคำพิพากษาไปให้ผู้ปรับ ผู้ปรับจะพลิกกฎหมายและกำหนดว่าจะลงโทษอย่างไรตามมาตราใด เสร็จแล้วส่งคืนให้กรมนา ตระลาการกรมนาจะทำการปรับไหมหรือลงโทษตามคำพิพากษา หากคู่ความไม่พอใจตามคำพิพากษา ก็สามารถอุทธรณ์ต่อผู้บังคับบัญชาหัวเมืองนั้น ๆ ถ้ายังไม่พอใจก็สามารถถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ได้อีก ศาลในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นมี 4 ศาลตามการปกครองแบบจตุสดมภ์ โดยเริ่มที่กรมวังก่อนแล้วจึงขยายไปยังที่กรมอื่น ๆ ในตองกลางกรุงศรีอยุธยามีการตั้งกรมต่าง ๆ ขึ้นจึงมีศาลมากมายกระจายอยู่ตามกรมต่าง ๆ ทำหน้าที่พิจารณาคดีที่เกี่ยวกับกรมของตน ในช่วงกลางสมัยกรุงศรีอยุธยามีการรวมรวบกรมต่าง ๆ ขึ้นเป็นกระทรวงจึงแบ่งศาลออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ศาลความอาญา ศาลความแพ่ง สองศาลนี้ขึ้นอยู่กับกระทรวงวัง ชำระความคดีอาญาและคดีความแพ่งทั้งปวง ศาลนครบาล ขึ้นอยู่กับกระทรวงนครบาล ชำระความคดีโจรผู้ร้าย เสี้ยนหนามแผ่นดิน ทั่วไป ศาลการกระทรวง ขึ้นอยู่กับกระทรวงอื่น ๆ ชำระคดีที่อยู่ในหน้าที่ของกระทรวงนั้น ๆ ส่วนสถานที่พิจารณาคดีหรือที่ทำการของศาลในสมัยกรุงศรีอยุธยา นอกจากศาลหลวงที่ ตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวังแล้ว ศาลอื่น ๆ ไม่มีที่ทำการโดยเฉพาะ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า ที่ทำการของศาลหรือที่พิจารณาคดีคงใช้บ้านของตระลาการของศาลแต่ละคนเป็นที่ทำการ สำหรับที่ตั้งของศาลหลวงนั้นมีหลักฐานตามหนังสือประชุมพงศาวดารภาค 63ว่าด้วยตำนานกรุงเก่ากล่าวว่า ศาลาลูกขุนนอก คือศาลหลวงคงอยู่ภายในกำแพงชั้นนอกไม่สู้ห่างนัก คงจะอยู่มาทางใกล้กำแพงริมน้ำ เนื่องจากเมื่อขุดวังได้พบดินประจำผูกสำนวนมีตราเป็นรูปต่าง ๆ และบางก้อนก็มีรอยหยิกเล็บมือ ศาลหลวงคงถูกไฟไหม้เมือเสียกรุง ดินประจำผูกสำนวนจึงสุกเหมือนดินเผา มีสระน้ำอยู่ในศาลาลูกขุนใน สระน้ำนี้ในจดหมายเหตุซึ่งอ้างว่าเป็นคำให้การของขุนหลวงหาวัด ว่าเป็นที่สำหรับพิสูจน์คู่ความให้ดำน้ำในสระนั้น เพื่อพิสูจน์ว่ากล่าวจริงหรือกล่าวเท็จ
สำหรับกฎหมายในสมัยกรุงศรีอยุธยา แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
พระธรรมศาสตร์ เป็นกฎหมายดั้งเดิมของไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย เป็นหลักกฎหมายที่ลูกขุนฝ่ายในศาลหลวงจะต้องยึดถือปฏิบัติ และใช้ในการวินิจฉัยคดี มีบทกำหนดลักษณะของตุลาการ ข้อพึงปฏิบัติของตุลาการ คำสั่งสอนตุลาการ
พระราชศาสตร์ เป็นพระบรมราชวินิจฉัยในอรรถคดีของพระมหากษัตริย์ เช่น การวินิจฉัยคดีที่ราษฎรฎีกา เป็นต้น ซึ่งต้องยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติต่อมาจนกลายเป็นกฎหมาย พระราชกฎหมาย กำหนดกฎหมายอื่น ๆ เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์พระองค์ต่าง ๆ ทรงตราขึ้นตามความเหมาะสม และความจำเป็นของแต่ละสมัยที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก การลงโทษผู้กระทำผิดในสมัยกรุงศรีอยุธยามีความรุนแรงมากถึงขั้นประหารชีวิต การประหารชีวิตโดยทั่วไป ใช้วิธีตัดศีรษะด้วยดาบ แต่ถ้าเป็นคดีกบฎประหารชีวิตด้วยวิธีที่ทารุณมาก การลงโทษหนักที่ไม่ถึงขั้นประหารชีวิตจะเป็นการลงโทษทางร่างกายให้เจ็บปวดทรมานโดยวิธีต่าง ๆ เพื่อให้เข็ดหลาบ
*********************************************************************************
<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-63001949720850851032012-09-16T08:20:00.005-07:002012-09-16T08:20:42.498-07:00แนวคำตอบข้อสอบวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทย
ให้ทำแบบทดสอบทุกข้อ ๆ ละ 25 คะแนน ภายในเวลา 3 ชั่วโมง ทดสอบวันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2555 เวลา 13.00-16.00 น.(เพื่อความพร้อมในการสอบปลายภาคและปรับปรุงวิธีการเขียน ต้องส่งคำตอบทุกคน)
*******************************************************************************
ข้อ 1. ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีการชำระสะสางกฎหมายอย่างไร กฎหมายที่กล่าวนั้นมีความเป็นมาและมีความสำคัญอย่างใด ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่มีผู้เรียกกฎหมายนั้นว่าเป็นประมวลกฎหมาย อธิบายพอเข้าใจ (35 คะแนน)
แนวคำตอบ
-มูลเหตุของการชำระกฎหมายตราสามดวง
กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในระยะแรกของกรุงรัตนโกสินทร์นั้นก็คือกฎหมายที่ใช้อยู่เมื่อครั้ง กรุงศรีอยุธยา โดยอาศัยความจำ และการคัดลอกมาตามเอกสารที่หลงเหลือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงทำการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ โดยอาศัยมูลอำนาจอธิปไตยของ พระองค์เองบ้าง อาศัยหลักฐานที่ได้จากการสืบสวน ฟังคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บ้างจนกระทั่งได้เกิดคดีขึ้นคดีหนึ่งและมีการทูลเกล้าฯถวายฎีกา คดีที่เกิดขึ้นนี้แม้เป็นคดีฟ้องหย่าของชาวบ้านธรรมดา แต่ที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์กฎหมาย ก็คือผลจากคดีนี้เป็นต้นเหตุให้นำมา ซึ่งการชำระสะสางกฎหมายในสมัยนั้น เป็นคดีที่อำแดงป้อม ฟ้องหย่านายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ทั้งๆ ที่ตนได้ทำชู้ กับ นายราชาอรรถ และศาลได้พิพากษาให้หย่าได้ตามที่อำแดงป้อมฟ้อง โดยอาศัยการพิจารณาคดีตามบทกฎหมาย ที่มีความว่า “ชายหาผิดมิได้ หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิงหย่าชาย หย่าได้”
เมื่อผลของคดีเป็นเช่นนี้ นายบุญศรีจึงได้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าถวายฎีกา ต่อพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ทรงเห็นด้วยกับฎีกาว่าคำพิพากษาของศาลนั้น ขัดหลักความยุติธรรม ทรงสงสัยว่าการพิจารณาพิพากษาคดีจะถูกต้องตรงตามตัวฉบับกฎหมายหรือไม่ จึงมีพระบรมราชโองการ ให้เทียบกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ศาลใช้กับฉบับที่หอหลวงและที่ห้องเครื่อง แต่ก็ปรากฏ ข้อความที่ตรงกัน เมื่อเป็นดังนี้ จึงทรงมีพระราชดำริว่ากฎหมายนั้นไม่เหมาะสม อาจมีความคลาดเคลื่อนจากการคัดลอก สมควรที่จะจัดให้มีการชำระสะสางกฎหมายใหม่ เหมือนการสังคายนา พระไตรปิฎกจากคดีอำแดงป้อมดังกล่าวข้างต้น ได้แสดงให้เห็นหลักกฎหมายสำคัญประการหนึ่งเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายที่ว่าแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ต้องให้ความสำคัญและปฏิบัติตามไม่มีพระราชอำนาจที่จะแก้ไข เปลี่ยนแปลงกฎหมาย ตามอำเภอใจ
ในคดีนี้แม้จะทรงเห็นว่าคำตัดสินนั้นไม่สอดคล้องกับความยุติธรรม อันอาจเนื่องมาจากการคัดลอกกฎหมายมาผิด ก็ชอบที่จะจัดให้มีการชำระสะสางกฎหมายให้กลับไปสู่ความถูกต้องเหมือนการสังคายนาพระไตรปิฎก ดังพระราชปรารภที่ว่า “ให้กรรมการชำระพระราชกำหนดบทพระอายการ อันมีอยู่ในหอหลวง ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์ไปให้ถูกถ้วน ตามบาฬีและเนื้อความ มิให้ผิดเพี้ยนซ้ำกัน ได้จัดเป็นหมวด เป็นเหล่าเข้าไว้ แล้วทรงอุตสาห ทรงชำระดัดแปลง ซึ่งบทอันวิปลาดนั้นให้ชอบโดยยุติธรรมไว้”กฎหมายตราสามดวง คือ ประมวลกฎหมายในรัชกาลที่ ๑ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ปฐมกษัตริย์แห่รัดังนั้นฎหมายตราสามดวง คือ กฎหมายในรัชกาลที่ ๑ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายเก่า แล้วรวบรวม เป็นประมวลกฎหมายขึ้นเมื่อ จุลศักราช ๑๑๖๖ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๔๗ โปรดให้เรียกว่า “กฎหมายตราสามดวง” ให้อาลักษณ์ชุบเส้นหมึกสามชุด แต่ละชุดประทับตรา ๓ ดวง คือ ตราราชสีห์ คชสีห์ และบัวแก้ว ไว้ทุกเล่มเก็บไว้ ณ ห้องเครื่องชุดหนึ่ง หอหลวงชุดหนึ่ง และศาลหลวงอีกชุดหนึ่ง เมื่อครั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง จัดพิมพ์เผยแพร่ เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๒ ม.เอร์ แลงกาต์ ดอกเตอร์กฎหมายฝรั่งเศส เป็นผู้ชำระกฎหมายตราสามดวงใหม่นั้น ได้สันนิษฐานว่าหนังสือฉบับหลวงชุดหนึ่งเป็นสมุดไทย ๔๑ เล่ม ฉะนั้น กฎหมายฉบับหลวงมีตราสามดวงซึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น จึงมี ๓ เล่ม ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง ๗๙ เล่ม เก็บไว้ที่กระทรวงยุติธรรม ๓๗ เล่ม หอสมุดแห่งชาติ ๔๒ เล่ม ส่วนอีก ๔๔ เล่ม ไม่ทราบว่า ขาดหายไปด้วยประการใด จากฉบับหลวง ตราสามดวง ๓ ชุด ดังกล่าวแล้ว
ความสำคัญของกฎหมายตราสามดวงกฎหมายตราสามดวง
กฎหมายตราสามดวงมีลักษณะเป็นกฎหมายของนักกฎหมาย (Juristenrecht) กล่าวคือ กฎเกณฑ์ส่วนใหญ่ของกฎหมายตราสามดวงโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นพระธรรมศาสตร์ ที่มีลักษณะทั่วไปและมีฐานะสูงกว่าจารีตประเพณี มีการจัดระบบกฎหมายที่เป็นระบบและมีการใช้เหตุผลของนักกฎหมายปรุงแต่ง
กฎหมายตราสามดวงมีลักษณะที่เป็นกฎหมายธรรมชาติ ทุกคนแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
ไม่มีการบัญญัติโดยแท้ บทกฎหมายใหม่นี้จึงเป็นผลงานของ นักกฎหมาย อันได้แก่ ศาลและพระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นนักกฎหมายด้วย ไม่ใช่กฎหมาย ที่บัญญัติขึ้นด้วยเหตุผลทางเทคนิค โดยกระบวนการนิติบัญญัติอย่างปัจจุบัน
มีความนับถือตัวบทกฎหมาย เชื่อว่าไม่มีใครสามารถแก้กฎหมายได้เพราะกฎหมายไม่ใช่สิ่งที่คนสร้างขึ้น แม้แต่กษัตริย์ก็แก้ไม่ได้ หากเห็นว่ากฎหมายนั้นไม่เหมาะสมจะใช้การชำระสะสางไม่ใช่ยกร่างขึ้นใหม่หรือแก้ไขกฎหมายเดิม
ไม่ใช่ประมวลกฎหมายที่มีเนื้อหาครอบคลุมทุกด้านเพราะเป็นที่รวมของบทกฎหมายที่ปรุงแต่งโดยนักกฎหมายและจารีตประเพณีที่สำคัญเท่านั้น การเรียกว่าประมวลกฎหมายตราสามดวงนั้นเป็นเพียงการใช้คำว่าประมวลเพื่อยกย่องเท่านั้นเป็นกฎหมายที่ใช้เป็นคู่มือในการชี้ขาดตัดสินคดีเพราะเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาพิพากษาคดี และใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นหลัก ไม่ใช่กฎหมายที่เขียนขึ้นในลักษณะตำรากฎหมาย
บางครั้งมีผู้เรียกกฎหมายตราสามดวงว่าเป็น ประมวลกฎหมายโบราณของไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตจำนวน ๑๑ คน นำตัวบทกฎหมายต่างๆ ที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มาชำระ และปรับปรุงแก้ไขตัวบทกฎหมายต่างๆ ให้มีความยุติธรรมและเหมาะสมกับยุคสมัยมากขึ้น โดยโปรดเกล้าฯ ให้ชำระขึ้น และได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๓๔๗* นอกจากจะนำกฎหมายเก่าที่ใช้กันในสมัยอยุธยามาชำระแล้ว ก็ยังได้ตรากฎหมายใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย แต่ข้าพเจ้าเห็นว่ากฎหมายตราสามดวงยังไม่อาจถือเป็นประมวลกฎหมายได้เพราะยังไม่ได้จัดหมวดหมู่กฎหมายอย่างชัดเจนเพียงพอประมวลกฎหมาย คือ กฎหมายซึ่งรวมบทกฎหมายต่าง ๆ ในเรื่องเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน และได้จัดให้มีการบัญญัติอย่างเป็นระบบ มีการจัดสรรให้เป็นหมวดหมู่อย่างเรียบร้อย และมีข้อความท้าวถึงซึ่งกันและกัน ซึ่งประมวลกฎหมายฉบับแรกของประแทศไทย ก็คือ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ซึ่งนับได้ว่าเป็นประมวลกฎหมายอาญาที่ทันสมัยมากในขณะนั้น เพราะได้นำหลักกฎหมายอาญาอันเป็นที่นิยมอยู่ในประเทศต่างๆมาพิจารณาดัดแปลงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของไทยอันเป็นการยกระดับประเทศขึ้นสู่ระดับอารยประเทศ
ประเทศไทยใช้กฎหมายตราสามดวงเป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนกระทั่งไทยต้องเผชิญกับลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษในพ.ศ. ๒๓๙๘ และทำสนธิสัญญาในลักษณะเดียวกันกับชาติตะวันตกอื่นๆ ชาติตะวันตกเหล่านั้นมีระบบกฎหมายที่แตกต่างไปจากกฎหมายของไทย และมองว่ากฎหมายไทยป่าเถื่อน จึงเรียกร้องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตจากไทย เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายไทยและศาลไทย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงต้องเร่งรีบปฏิรูปกฎหมาย และการศาลของไทยให้เป็นที่ยอมรับของชาติตะวันตก เพื่อไทยจะได้เอกราชทางกฎหมายและการศาลคืนมา โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งคณะกรรมการตรวจชำระกฎหมาย และจัดทำประมวลกฎหมายใหม่ขึ้น การชำระและการร่างกฎหมายใหม่นั้นได้กระทำอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะๆเมื่อกฎหมายลักษณะใดเสร็จ ก็ประกาศใช้ไปพลางๆ ก่อน จนใน พ.ศ. ๒๔๗๘ จึงประกาศใช้กฎหมายใหม่ได้ครบทุกลักษณะ และกฎหมายตราสามดวงก็ได้ยกเลิกไปในที่สุด
ข้อ 2. อธิบายโดยสังเขปถึงการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามที่ศึกษามาจากวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทยว่ามีกี่อย่าง อะไรบ้าง ยกตัวอย่างประกอบอย่างน้อย 2 ประการ (35 คะแนน)
แนวคำตอบ
แนวคิดและวิวัฒนาการในการออกเอกสารสิทธิที่ดินของประเทศไทย
1. ประวัติความเป็นมาของการออกเอกสารสิทธิที่ดิน
ที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน หมายความว่า พื้นที่ดินทั่วไปและให้หมายความรวมถึง
ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ลำน้ำ ทะเลสาบ เกาะและที่ชายทะเล ที่ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติ
ที่มีความสำคัญต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์อย่างยิ่ง ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต
โดยเฉพาะเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นทุกๆ วัน ขณะที่พื้นดินมีอยู่เท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม
เนื่องจากภัยธรรมชาติและการทำลายของมนุษย์ รัฐจึงต้องมีการออกเอกสารสิทธิในที่ดินเพื่อเป็น
การรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินแก่เจ้าของ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการโต้แย้งสิทธิในที่ดินและเป็น
หลักทรัพย์สำหรับเจ้าของที่ดินนั้น ซึ่งรับรองสิทธิหรือการออกเอกสารสิทธิที่ดินมีวิวัฒนาการมา
ตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา จนถึงปัจจุบันตามลำดับดังต่อไปนี้
1.1 สมัยกรุงสุโขทัย
ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง (ระหว่าง พ.ศ.1820 - 1860) พระองค์ทรงปกครองบ้านเมือง
ในรูปบิดาปกครองบุตร ทรงดำเนินนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจเกี่ยวกับการทำประโยชน์ในที่ดิน โดยให้พลเมืองเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเพื่อให้ได้พืชผลมาเป็นปัจจัยในการบริโภคและอุปโภคพอควรแก่ระดับการครองชีพในสมัยนั้น เมื่อราษฎรเข้าบุกเบิกหักร้างถางพงในที่ดินจนเพาะปลูกได้ผลประโยชน์แล้วก็โปรดให้ที่ดินนั้นๆ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ออกแรงออกทุนไปดังปรากฏในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ 1 ว่า
“ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึงชมสร้างป่าหมาก ป่าพลู ทั่วเมืองนี้ทุกแห่ง ป่าพร้าวก็หลาย
ในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้าง
ได้ไว้แก่มัน”
เมื่อเจ้าของที่ดินตายลงก็ยอมรับรองให้ทายาทบุตรหลานสืบมรดกตกทอดต่อกันไป
ดังข้อความในศิลาจารึกว่า
“ไพร่ฟ้าหน้าใส ลูกเจ้าลูกขุนผู้ใดแลล้มตายหายกว่า เหย้าเรือนพ่อเชื้อ เสื้อคำมัน ช้าง
ขอลูกเมียเยียข้าม ไพร่ฟ้าข้าไทย ป่าหมากป่าพลู พ่อเชื้อมันไว้แก่ลูกมันสิ้น” (100 ปี กรมที่ดิน, 2543,
หน้า 1)
1.2 สมัยกรุงศรีอยุธยา
1.2.1 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระเจ้าอู่ทอง ทรงมีพระบรมราชโองการให้ขุนเกษ
ตราธิบดี เสนาบดีกรมนาร่างกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จที่เกี่ยวกับที่ไร่ ที่นา เรือกสวน เมื่อ พ.ศ.1903
ดังนี้
บทที่ 35 มาตรา 33 “ถ้าผู้ใดโก่นสร้างเลิกรั้งที่ไร่นาเรือกสวนนั้นให้ไปบอกแก่
เสนานายระวาง นายอากรไปดูที่ไร่นาเรือกสวนที่โก่นสร้างนั้นให้รู้มากแลน้อยให้เสนานายระวาง
นายอากร เขียนโฉนดให้ไว้แก่ผู้เลิกรั้งโก่นสร้างนั้นให้รู้ว่าผู้นั้นอยู่บ้านนั้นโก่นสร้างเลิกรั้งตำบล
นั้นขึ้นในปีนั้นเท่านั้นไว้เป็นสำคัญ ถ้าแลผู้ใดลักลอบโก่นสร้างเลิกรั้งทำตามอำเภอใจตนเอง มิได้
บอกเสนานายระวาง นายอากร จับได้ก็ดี มีผู้ร้องฟ้องพิจารณาเป็นสัจไซร้ ให้ลงโทษ 6 สถาน”
บทที่ 42 “ที่ในแว่นแคว้นกรุงเทพมหานครศรีอยุธยามหาดิลกนพรัตน์ราชธานี
บุรีรมย์ เป็นที่แห่งพระเจ้าอยู่หัว หากให้ราษฎรทั้งหลายผู้เป็นข้าแผ่นดินอยู่จะได้เป็นที่ราษฎรหา
มิได้ และมีพิพาทแก่กันดังนี้ เพราะมันอยู่แล้ว มันละที่บ้านที่สวนมันเสียและมีผู้หนึ่งเข้ามาอยู่แล
ล้อมทำไว้เป็นคำนับแต่มันหากไปราชภารกิจสุขทุกข์ประการใดๆ ก็ดี มันกลับมาแล้วมันจะเข้าอยู่
เล่าไซร้ ให้คืนให้มันอยู่เพราะมันมิได้ซัดที่นั้นเสีย ถ้ามันซัดที่เสียช้านานถึง 9 ปี 10 ปี ไซร้ ให้แขวง
จัดให้ราษฎรซึ่งหาที่มิได้นั้นอยู่ อย่าให้ที่นั้นเปล่าเป็นทำเลเสีย อนึ่ง ถ้าที่นั้นมันปลูกต้นไม้อัญมณี
อันมีผลไว้ให้ผู้อยู่ให้ค่าต้นไม้นั้น ถ้ามันพูนเป็นโคกไว้ให้บำเหน็จซึ่งมันพูนนั้นโดยควร (ส่วนที่นั้น
มิให้ซื้อขายแก่กันเลย)....”
บทที่ 43 “ถ้าที่นอกเมืองหลวงอันเป็นแว่นแคว้นกรุงศรีอยุธยาใช่ที่ราษฎรอย่าให้ ซื้อขายแก่กันอย่าไว้ให้เป็นทำเลเปล่าแลให้นายบ้าน นายอำเภอ ร้อยแขวงและนายอากรจัดคนเข้าอยู่ในที่นั้น อนึ่ง ที่นอกเมืองทำรุดอยู่นานก็ดีและมันผู้หนึ่งล้อมเอาที่นั้นเป็นไร่เป็นสวนมัน มันได้ปลูกต้นไม้สรรพอัญมณีที่นั้นไว้ให้ลดอากรไว้แก่มันปีหนึ่ง พันกว่านั้นเป็นอากรหลวงแล”
ตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ 3 บทดังกล่าว สรุปหลักการใหญ่ๆ ได้ว่า
- โฉนดตามกฎหมายเบ็ดเสร็จเป็นใบอนุญาตที่นายเสนาระวาง นายอากรซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เขียนใบอนุญาตโฉนดให้ผู้ขอที่ดินยึดถือไว้เป็นคู่มือสำหรับที่ มิได้หมายความว่าผู้ถือโฉนดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดั่งเช่นในปัจจุบันแต่ออกให้เพื่อประโยชน์ในการเก็บภาษี
- ที่ดินทั้งในและนอกเมืองในแว่นแคว้นกรุงศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวราษฎรเป็นผู้ถือครองในฐานะผู้อาศัยเสียภาษีเป็นเสมือนค่าเช่า ห้ามมิให้ซื้อขายซึ่งกันและกัน
- ผู้ที่จะได้ที่ดินจะต้องขออนุญาตจับจองหรือทางราชการจัดให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องที่ดินดังกล่าวนี้ คือ กรมนาซึ่งเป็นกรมหนึ่งใน 4 กรมที่เรียกว่า จตุสดมภ์ คือ กรมเมือง (กรมเวียง) กรมวัง กรมคลังและกรมนา ทั้ง 4 กรมเป็นกรมใหญ่ประจำอยู่ส่วนกลาง ผู้บังคับบัญชาเป็นตำแหน่งเสนาบดี
1.2.2 สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991 - 2031) ได้ทรงตั้งเสนาบดี
เพิ่มอีก 2 ตำแหน่ง ในหนังสือพระราชพงศาวดารใช้คำว่า “เอาทหารเป็นสมุหกลาโหม เอาพลเรือนเป็น
สมุหนายก” คือ ทรงตั้งกระทรวงกลาโหมเป็นหัวหน้าส่วนราชการฝ่ายทหารทั่วไปกระทรวงหนึ่งระทรวงมหาดไทยเป็นหัวหน้าส่วนราชการฝ่ายพลเรือนทั่วไปกระทรวงหนึ่ง เสนาบดีทั้ง 2กระทรวงนี้มียศเป็นอัครมหาเสนาบดีสูงกว่าเสนาบดีจตุสดมภ์ ส่วนเสนาบดีจตุสดมภ์นั้นก็ได้พระราชทานนามใหม่ในพระราชพงศาวดารใช้คำว่า “เอาขุนเมืองเป็นพระนครบาล เอาขุนวังเป็นพระธรรมาธิกรณ์ เอาขุนนาเป็นพระเกสรตรธิบดี เอาขุนคลังเป็นพระโกษาธิบดี ให้ถือศักดินาหมื่น”
1.2.3 สมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2175) เรียกตำแหน่งเสนาบดีกรมนาว่า เจ้า
พระยายลเทพเทพเสนาบดีศรีไชยนพรัตน์เกษตราธิบดีอภัยพิริยะบรากรมพาหุ นามเจ้าพระยาพล
เทพ นามนี้ได้ใช้ตลอดมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์และได้มีการตราพระธรรมนูญตรากระทรวงขึ้นสำหรับใช้ในตำแหน่งเกษตราธิบดี 9 ดวง มีตรา 2 ดวงที่เกี่ยวกับงานที่ดิน คือ ตราเทพยดาทรงเครื่องยืนบนแทนถือเส้นเชือกใช้ไปรังวัดนาและชันสูตรนาซึ่งวิวาทกันและใช้ไปพระราชทานนาให้แก่ผู้มีบำเหน็จความชอบกับตรานัคลีอังคัลรูปพราหมณ์ทรงเครื่องแบกไถ สำหรับใช้ไปเลิกรั้งดงพงแขมกล่าวโดยสรุป หน้าที่ของกรมนาในสมัยกรุงศรีอยุธยามีอยู่กว้างขวางทั้งในหน้าที่บริหารและหน้าที่ตุลาการในทางบริหารมีหน้าที่จัดที่ดินซึ่งยังรกร้างเป็นทำเลเปล่าให้ราษฎรเข้าโก่นสร้างให้มีประโยชน์ขึ้นเขียนโฉนดไว้แก่ผู้โก่นสร้างที่ดิน มีหน้าที่เกี่ยวกับการชลประทานเก็บหางข้าวขึ้นฉางหลวงจัดเรื่องที่ดินเพื่อการศาสนาและแก่บุคคล ส่วนในทางตุลาการมีหน้าที่ระงับคดีวิวาทในเรื่องที่ดิน เช่น แย่งนากันทำ รวมถึงระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการลักเครื่องมือทำนา ลักแอก
ลักไถ เป็นต้น (100 ปีกรมที่ดิน, 2543, หน้า 25)
1.3 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
1.3.1 รัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 2 งานที่ดินยังคงดำเนินการเช่นเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยา
โดยมีกรมนาเป็นผู้รับผิดชอบเช่นเดิม
1.3.2 สมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านขึ้น กล่าวคือ ในปีจุล
ศักราช 1203 (ร.ศ.60 พ.ศ.2384) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่ามีการออกใบอนุญาตให้ราษฎรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินที่เรียกว่าโฉนด ออกให้ในที่ไร่ นา สวน ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นต้นมา ส่วนที่ดินเป็นที่บ้านที่อยู่อาศัยไม่มีการออกหนังสือสำคัญแต่อย่างใดและปรากฏมีกรณีพิพาทรุกล้ำกันอยู่เสมอ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านทำขึ้นทำเฉพาะภายในกำแพงพระนครขึ้นก่อนหากเป็นที่นิยมแพร่หลายก็ให้กระจายไปออกในหัวเมือง ลักษณะรูปแบบหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านเป็นหนังสือเขียนด้วยดินสอบนกระดาษข่อยต่อมาเปลี่ยนเป็นกระดาษฝรั่งแทน กระทรวงการนครบาลเป็นเจ้าหน้าที่ในการออกหนังสือสำคัญชนิดนี้ วิธีดำเนินการเมื่อมีผู้ขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านให้นายอำเภอไปทำการรังวัดแล้วประกาศโฆษณาหาผู้คัดค้านภายในเวลาที่กำหนดเมื่อไม่มีผู้ใด
โต้แย้งคัดค้านประการใดก็ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านให้ผู้ขอต่อไป ส่วนในหัวเมืองให้ผู้ว่าราชการเมืองหรือสมุหเทศาภิบาลเป็นผู้ดำเนินการและเมื่อมีการออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ใดก็ให้เปลี่ยนหนังสือสำคัญฉบับนี้สำหรับที่บ้านเป็นโฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงสิทธิต่อไปหนังสือสำคัญสำหรับที่บ้านจึงไม่ใช่หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์หรือเพื่อเก็บภาษีอากรแต่อย่างใดแต่ออกให้เพื่อเป็นหลักฐานและขอบเขตที่ดินที่ตนปลูกบ้านอยู่อาศัยเท่านั้น
1.3.3 สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ตั้งแต่ พ.ศ.2394 -
2411) พระองค์ทรงปรับปรุงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน ส่วนราชการในด้านที่ดินนั้นคงมีการจัดทำโฉนดเช่นเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยาแต่ยังไม่ทั่วถึง เหตุว่าผู้ใดจะทำประโยชน์จะต้องไปขออนุญาตราษฎรมักไม่ขออนุญาตจึงทำให้การเก็บภาษีอากรขาดไปบ้าง ดังนั้นในปีจุลศักราช 1226 (ร.ศ.83 พ.ศ.2407) พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าให้ข้าหลวงเสนาออกไปทำการรังวัดที่นาโคดู่ คือนาหว่านที่ทำได้โดยอาศัยทั้งน้ำฝนและน้ำท่าเป็นนาที่ทำได้ผลดีบริเวณนาในท้องที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) อ่างทอง สุพรรณบุรี และลพบุรี ข้าหลวงเดินนาเป็นเจ้าหน้าที่ทำตราแดงหรือบางคนเรียกว่าโฉนดตราแดงมีความหมายเช่นเดียวกัน ลักษณะของตราแดงเป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินที่เป็นนาบอกตำบลที่ดินตั้งอยู่ ชื่อเจ้าของนา ระยะกว้าง ยาวจำนวนเนื้อที่อาณาเขตติดต่อข้างเคียงทั้งสี่ทิศมีชื่อข้าหลวงเดินนาซึ่งเป็นผู้ออกตราแดง โดยออกให้แก่เจ้าของนาเพื่อประโยชน์ในการเก็บเงินค่านามากกว่าที่จะให้เป็นหนังสือสำหรับแสดงกรรมสิทธิ์ กล่าวคือ เมื่อออกตราแดงให้เจ้าของนาไปแล้วจะได้เก็บเงินค่านาตามจำนวนที่ดินในตราแดงนั้นทุกๆ ปี แต่ก็เป็นหลักฐานในเรื่องสิทธิในที่ดินอยู่บ้างที่แสดงว่าผู้มีชื่อในตราแดงนั้นเป็นเจ้าของนาอาจมีการสืบมรดกตกทอดกันต่อๆ ไปจนถึงลูกหลาน ต่อมาได้มีการออกพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) เพื่อเปลี่ยนตราแดงเป็นโฉนดที่ดินทั้งหมดในสมัยนี้ได้มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดที่ให้ขาย ให้เช่าแก่คนนอกประเทศตามประกาศ ณ วันพฤหัส ขึ้นสองค่ำ เดือนเจ็ด ปีมะโรง นักษัตรอัฐศกศักราช 1218 (พ.ศ.2399) มีหลักการว่าที่ดินภายในพระนครและห่างกำแพงพระนครออกไปในรัศมี 200 เส้นห้ามไม่ให้ผู้ใดขายที่ดินแก่คนต่างประเทศที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยไม่ถึง 10 ปี หากผู้ใดมีความจำเป็นอาจได้รับอนุญาตจากเสนาบดีจึงจะขายได้ เหตุผลที่มีการประกาศห้ามไม่ให้ขายที่ดินแก่คนต่างด้าวนั้น
เนื่องมาจากในรัชสมัยของพระองค์มีชาวต่างประเทศเข้ามาทำมาหากินในเมืองไทยและซื้อที่ดินเพื่ออยู่อาศัยทำกินและเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองในประเทศไทยมากขึ้นและประเทศเพื่อนบ้านก็ได้สูญเสียเอกราชไปเนื่องจากยอมให้กองทัพและขบวนการค้าขายที่ซ่อนนโยบายขยายอำนาจหาเมืองขึ้นไว้เป็นฉากหลังมาตั้งมั่นอยู่ในบ้านเมืองพอได้โอกาสก็ยึดอำนาจเอาบ้านเอาเมืองเสีย ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงห้ามมิให้ขายที่ดินแก่คนต่างด้าวภายในรัศมี 200 เส้น จากพระนครดังกล่าวแล้วข้างต้นและได้มีประกาศเรื่องฝรั่งทำหนังสือสัญญาลงวันพฤหัส แรมค่ำหนึ่ง เดือนเจ็ด ปีมะโรงนักษัตรอัฐศก บัญญัติเรื่อง คนสัญชาติฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกา และคนในบังคับดังกล่าวจะซื้อหรือเช่าที่ดิน นอกจากนี้ยังมีประกาศขายสวน ขายนา ฝากแก่กัน ตามประกาศ ณ วันอาทิตย์ แรมสิบเอ็ดค่ำ ปีขาล อัฐศกศักราช 1228 (ร.ศ.85 พ.ศ.2409) โดยมีใจความสำคัญสรุปได้ว่า การขายฝากหรือการจำนำที่สวนที่นาถ้าผู้ขายหรือผู้จำนำได้มอบโฉนดตราแดงหรือหนังสือสำคัญอื่นๆ ให้แก่ผู้ซื้อหรือผู้รับจำนำก็ให้ที่ดินนั้นตกเป็นของผู้ซื้อหรือผู้รับจำนำถ้าไม่ได้มอบก็ไม่ตก (100 ปีกรมที่ดิน,
2543, หน้า 32)
1.4 สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยมหาราช เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเมื่อปี พ.ศ.2411 โดยมีสมเด็จพระเจ้ายาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะยังทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงครองราชย์เป็นเวลานานถึง 42 ปี (พ.ศ.2411 - 2453) ทรงปกครองทำนุบำรุงสร้างความเจริญก้าวหน้าแก่บ้านเมืองนานัปการ อาทิเช่น ทรงเลิกทาส ดำเนินวิเทโศบายฉลาดลึกซึ้งทำให้ชาติปลอดภัยจากการรุกรานแสดงอาณานิคมของมหาอำนาจทรงวางรากฐานปกครองระบอบประชาธิปไตย ทรงเป็นนักปกครองยอดเยี่ยมปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขการปกครอง การศาล ตั้งกระทรวง กรม ได้แก่ กรมมหาดไทย กรมพระกลาโหมกรมท่า กรมวัง กรมเมือง กรมนา กรมพระคลัง กรมยุติธรรม กรมยุทธนาธิการ กรมธรรมการ และกรมมุรธาธิการ วางพื้นฐานในทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและอื่นๆ มากมาย สำหรับราชการในหน้าที่ที่เกี่ยวกับที่ดินพระองค์ทรงวางพื้นฐานในการปรับปรุงสิทธิของผู้ถือครองที่ดินได้ตรวจบทกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินออกใช้บังคับหลายฉบับกระทำในรูปประกาศพระบรมราชโองการบ้างในรูปพระราชบัญญัติบ้างโดยมีความมุ่งหมายที่จะให้เจ้าของที่ดินผู้ลงทุนแรงทำประโยชน์ในที่ดินได้รับความเป็นธรรมและป้องกันระงับข้อวิวาทบาดหมางเนื่องจากการแย่งสิทธิในที่ดินกัน กฎหมายเกี่ยวกับที่ดินที่สำคัญก็คือประกาศออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.120 (พ.ศ.2444) และพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ดินใช้บังคับจนถึง พ.ศ.2497 หนังสือสำคัญสำหรับที่ดินออกใช้ในรัชกาลที่ 5 มีดังต่อไปนี้ คือ โฉนดสวน โฉนดป่า ใบเหยียบย่ำ ตราจอง โฉนดตราจอง โฉนดแผนที่ โฉนดที่ดิน
1.4.1 โฉนดสวน เป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินออกตามประกาศซึ่งจะเดินสวนจุลศักราช 1236 (ร.ศ.93 พ.ศ.2417) โดยเจ้าพระยาภาสกรวงษ์ ผู้ว่าการกรมนาเป็นผู้จัดการ โดยพระบรมราชโองการตั้งข้าราชการหลายเหล่าจำนวน 8 นาย เป็นข้าหลวงไปดำเนินการรังวัดที่สวนสำรวจต้นผลไม้ยืนต้นที่มีอายุเกิน 3 ปีขึ้นไปต้องเสียอากรสวน คือ หมาก พลู มะปราง มะม่วงทุเรียน มังคุด ลางสาด ส่วนต้นไม้อื่นๆ ที่อยู่ในสวนนั้นไม่ต้องเสียอากร การสำรวจสวนมีกำหนดทำการสำรวจทุกๆ 10 ปี หรือเปลี่ยนรัชกาลใหม่ได้ครบกำหนด 3 ปี อีกครั้งหนึ่งการออกโฉนดสวนออกให้แก่เจ้าของสวน มิได้เกี่ยวถึงนาและที่อื่นๆ มีความมุ่งหมายในการเก็บอากรสวนเท่านั้นลักษณะของโฉนดสวนเป็นแบบพิมพ์มีต้นขั้วมีสาระสำคัญที่ตั้งที่ดิน ชื่อเจ้าของสวน รายชื่อข้าหลวงจำนวน 8 นาย จำนวนต้นผลไม้ ทั้ง 7 ชนิด ดังกล่าว แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือชนิดไม้ใหญ่และไม้เล็ก จำนวนเงินต้องเสียอากรสวน วันเดือนปีที่ออกโฉนด ประทับตราให้ไว้เป็นสำคัญถ้าโฉนดสวนเป็นอันตรายสูญเสียเจ้าของสวนขอออกใบแทนได้
1.4.2 โฉนดป่า เป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินชนิดหนึ่งซึ่งออกในยุคเดียวกับโฉนดสวนออกให้ในที่ดินที่ปลูกพรรณไม้ชนิดเล็กและที่ไม่อยู่ในลักษณะที่จะต้องเสียอากรต้นผลไม้โฉนดป่าออกในที่ปลูกพืชล้มลุก (ไม่ใช่ต้นไม้ 7 ชนิดที่ออกโฉนดสวน) เช่นสวนผักต่างๆ สวนอ้อยหรือสวนจาก เป็นต้น โดยมีบัญชีต้นไม้โฉนดป่าเจ้าเมืองกรรมการเป็นผู้ออกให้มิได้เกี่ยวกับข้าหลวงเสนาอย่างใด การเก็บอากรโฉนดป่าเก็บตามจำนวนเนื้อที่ที่ระบุไว้
1.4.3 ใบเหยียบย่ำ เป็นหนังสือที่เป็นใบอนุญาตให้จองที่ดินเพื่อให้ผู้ขอเข้าครอบครองทำที่ดินให้เกิดประโยชน์ในสมัยนี้ได้มีการออกใบเหยียบย่ำมาหลายแบบ ดังนี้1) ใบเหยียบย่ำอย่างเก่าก่อน ร.ศ.117 (พ.ศ.2441) เป็นใบอนุญาตให้ราษฎรจับจองเข้าหักร้างถางพงทำประโยชน์ในที่ดินแต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายหรือข้อบังคับฉบับใดและไม่มีระเบียบวิธีการปฏิบัติไว้โดยแน่นอนแต่เป็นที่เข้าใจว่าน่าจะเป็นการจับจองซึ่งออกตามพระราชบัญญัติสำหรับผู้รักษาเมืองกรมการและเสนากำนันอำเภอ ซึ่งจะออกเดินประเมินนา จุลศักราช 1244 (ร.ศ.101 พ.ศ.2424) ผู้ใดมีความประสงค์จะขอที่ดินทำกินก็ให้ไปบอกเสนากำนันซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ กำนันตรวจสอบและพิจารณาเห็นควรก็ออก ใบ
เหยียบย่ำ ใบเหยียบย่ำชนิดนี้เขียนด้วยเส้นดินสอบนกระดาษข่อยมีจำนวนเนื้อที่ที่ขอจับจองไม่เกิน100 ไร่ กำหนดให้ทำประโยชน์ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ถ้าผู้ถือใบเหยียบย่ำไม่ทำประโยชน์ภาย ในกำหนด 1 ปี เป็นอันสิ้นสิทธิการจับจองแต่ถ้าได้ทำประโยชน์เพียงใดก็ได้ไปเฉพาะที่ดินที่ทำประโยชน์เท่านั้น 2) ใบเหยียบย่ำตามข้อบังคับการหวงห้ามที่ดิน ร.ศ.117 (พ.ศ.2441) นายอำเภอเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในการออกใบเหยียบย่ำ ใบเหยียบย่ำชนิดนี้มีกำหนดอายุ 12 เดือน เมื่อครบกำหนดขอต่ออายุใหม่ได้ทุกรอบ 12 เดือน ถ้าผู้ถือใบเหยียบย่ำมีความประสงค์จะปันแลกเปลี่ยนหรือขายที่ดินแก่ผู้อื่นก็ให้นำใบเหยียบย่ำไปขอเปลี่ยนเจ้าของต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้โดยทำสัญญาและสลักหลังในใบเหยียบย่ำ ส่วนผู้รับโอนย่อมมีสิทธิในการจับจองที่ดินตามอายุของใบเหยียบย่ำเสมือนเป็นผู้ถือมาแต่เดิมหากใบเหยียบย่ำเป็นอันตรายสูญหายก็ขอรับใบแทนใหม่ได้
3) ใบเหยียบย่ำออกตามกฎกระทรวงเกษตราธิการ ร.ศ.120 (พ.ศ.2444)หมวดที่ 8
ว่าด้วยการจับจองที่ดินตามความในข้อ 15 แห่งประกาศกระแสพระบรมราชโองการเรื่องออกโฉนด
ที่ดิน ประกาศเมื่อวันที่ 15 กันยายน ร.ศ.120 (พ.ศ.2444) ความว่าถ้าผู้ใดจะขอจับจองที่ดินว่างเปล่า
ในท้องที่ที่ได้ออกโฉนดอย่างใหม่ (โฉนดแผนที่) แล้วให้ผู้นั้นปักไม้แก่นหมายเขตทุกมุมที่แล้วเชิญ
กำนันผู้ปกครองท้องที่พร้อมทั้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงกับที่ที่จอขอจับจองไม่ต่ำกว่า 2 คน ไปเป็น
พยานชันสูตรที่นั้นแล้วทำเรื่องราวขอจับจองยื่นต่อกรมการอำเภอผู้ปกครองท้องที่ เมื่อกรมการ
อำเภอได้รับเรื่องราวและพิจารณาเห็นเป็นการถูกต้องแล้วก็ให้ออกใบเหยียบย่ำให้แก่ผู้จับจองไป
และให้ปิดประกาศโฆษณาที่การขอจับจองที่รายนั้นไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอและที่ว่าการกำนันนาย
ตำบลนั้นด้วยใบเหยียบย่ำนั้นต้องลงนามและประทับตราตำแหน่งนายอำเภอเป็นสำคัญและลงนาม
กำนันนายตำบลที่นั้นเป็นพยานด้วยใบเหยียบย่ำชนิดนี้ให้มีกำหนด 1 ปี มีระเบียบให้ต่ออายุได้ แต่ผู้
ถือจะโอนให้ผู้อื่นต่อไปอีกไม่ได้และแม้จะได้ออกใบเหยียบย่ำให้แก่ผู้ใดไปแล้วก็ดีถ้าความปรากฏ
ภายหลังว่าที่ดินที่อนุญาตให้จับจองเป็นที่ซึ่งรัฐบาลยังไม่มีความประสงค์จะให้ผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ก็
อาจไม่ยอมให้จับจองต่อไปอีกก็ได้หรือถ้าปรากฏว่าจับจองที่ดินมากกเกินกำลังความสามารถที่จะ
ทำให้ที่ดินเกิดประโยชน์ได้จะจับจองแต่พอสมควรก็ได้
4) ใบเหยียบย่ำ ออกตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2451)
หมวดที่ 11 ว่าด้วยการจับจองที่ดิน มีวิธีดำเนินการเช่นเดียวกับใบเหยียบย่ำออกตามกฎ กระทรวง
เกษตราธิการ ร.ศ.120 (พ.ศ.2444) กล่าวคือใบเหยียบย่ำนี้ออกให้แก่ผู้ขอจับจองในเขตที่ ดินที่มีการ
ออกโฉนดแผนที่แล้วนายอำเภอเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่และโอนสิทธิการจับจองไม่ได้จำกัดจำนวน
ให้จับจองตามกำลังความสามารถของผู้ขอจับจองเท่าที่จะเห็นสมควรต่อมามีพระราชบัญญัติออก
โฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2479 แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการจับจองที่ดินให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างจริงจังโดยกำหนดที่ดินที่จะอนุญาตให้จับจองต้องเป็นที่ดินรกร้างว่าง
เปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินคือที่ดินที่ไม่มีผู้ใดเข้าครอบครองเป็นเจ้าของ เช่น ที่ป่ารก
ทุ่งว่าง เป็นต้น สาระสำคัญและประทับตราตำแหน่งนายอำเภอ ชื่อผู้ขอจับจอง ที่อยู่ สัญชาติ เชื้อ
ชาติ ชื่อบิดามารดาของผู้ได้รับอนุญาตตำแหน่งแห่งที่ดิน ปริมาณเนื้อที่และเขตที่ดินเนื้อที่ที่อนุญาต
ให้จับจองดังนี้
- นายอำเภออนุญาตได้ไม่เกิน 50 ไร่
- ข้าหลวงประจำจังหวัด (ผู้ว่าราชการจังหวัด) อนุญาตให้จับจองได้ไม่เกิน 100 ไร่
ใบเหยียบย่ำที่มีอายุ 2 ปี ถ้าไม่ทำประโยชน์ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเป็นอันสิ้นสิทธิการจับจองเฉพาะส่วนที่ไม่ได้ทำประโยชน์โอนไม่ได้เว้นแต่จะตกทอดทางมรดก
1.4.4 ตราจอง เป็นใบหนังสืออนุญาตให้จองที่ดินเพื่อให้ผู้ขอเข้าใช้ประโยชน์ใน
ที่ดิน
1) ตราจองออกตามพระราชบัญญัติสำหรับผู้รักษาเมืองกรมการแลเสนากำนัน
อำเภอ ซึ่งจะออกเดินประเมินนา จุลศักราช 1236 (ร.ศ.93 พ.ศ.2417) ข้าหลวงกรมนาเป็นผู้ออกให้
อายุ 3 ปี ซึ่งมีบัญญัติไว้ในข้อ 11 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวว่าถ้า“ผู้ใดจับจองนาฟางลอยใน กรุงเทพมหานครและหัวเมืองไว้มากทำแต่น้อยไม่เต็มเนื้อที่ทิ้งให้รกร้างว่างเปล่าพ้น 3 ปี ไปก็ดีหรือที่ได้ทำนาอยู่แล้วภายหลังไม่ทำทิ้งไว้พ้น 3 ปี ไปให้ขาดผลประโยชน์ในแผ่นดินถ้าผู้ใดจะไปทำนาในที่นั้นก็ให้มาบอกต่อมาเสนาผู้รักษาเมืองกรมการกำนันไปปักเสาทำสำคัญประทับตราให้นาเป็นสิทธิแก่ผู้ทำต่อไปเจ้าของเดิมมาว่ากล่าวประการใดห้ามอย่าให้เสนาผู้รักษาเมืองกรมการคืนนานั้นให้เป็นอันขาดทีเดียว ฯลฯ”ข้าหลวงกรมนานี้แต่เดิมมาได้มีการแต่งตั้งให้มีหน้าที่ออกเดินสำรวจเก็บเงินค่านาปีละหนึ่งครั้งและมีหน้าที่ออกตราจองให้แก่ผู้ทำนาด้วย ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการเก็บเงินที่นา ต่อมาการเก็บเงินค่านาเป็นหน้าที่ของกรมสรรพากร กระทรวงการคลังจึงเลิกข้าหลวงกรมนานั้นเสีย
2) ตราจองที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าหลวงขุดคลอง
ออกให้แก่ราษฎรที่ช่วยขุดคลองตามประกาศขุดคลอง จุลศักราช 1239 (ร.ศ.96 พ.ศ.2420) ซึ่งทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าหลวงออกไปตรวจหาที่ซึ่งมีที่ดินอุดมดีขุดคลองขึ้น
ตำบลใดราษฎรทั้งปวงที่ต้องการที่ดินมากน้อยเท่าใดก็ให้ผู้ที่ต้องการนั้นออกเงินช่วยในการขุด
คลองบ้างตามสมควรแก่ที่มากและน้อยถ้าไม่ออกเงินก็ให้ออกแรงช่วยและข้าหลวงจะได้ออกตรา
จองให้แก่ราษฎรผู้นั้น ตราจองที่ออกให้แก่ราษฎรที่ช่วยขุดคลองนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรด
กระหม่อมเพิ่มอายุตราจองขึ้นกว่าพระราชกำหนดเดิมอีก 2 ปี เป็น 5 ปี ถ้าครบ 5 ปีแล้วผู้ใดไม่ทำ
สวนทำไร่ในที่ตราจองนั้นให้เกิดผลประโยชน์แก่แผ่นดินทิ้งรกร้างว่างเปล่าไม่เป็นประโยชน์สิ่งใด
ข้าหลวงจะเรียกเอาตราจองนั้นคืน คลองที่ขุดได้แก่ คลองในทุ่งหลวง คลองรังสิต คลองประเทศบุรี
รมย์ คลองนครเขื่อน เป็นต้น
3) ตราจองชั่วคราว ออกตามพระราชบัญญัติออกตราจองที่ดินชั่วคราว ร.ศ.121
(พ.ศ.2445) ต่อมามีประกาศเปลี่ยนนามเป็นพระราชบัญญัติออกโฉนดตราจอง ร.ศ.124 (พ.ศ.2448) เรียกตราจองดังกล่าวว่า โฉนดตราจองโฉนดตราจอง เป็นหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินออกตามพระราชบัญญัติออกโฉนดตราจองและให้ใช้ในมณฑลพิษณุโลก ร.ศ.124 (พ.ศ.2448) พระราช บัญญัติดังกล่าวใช้เฉพาะในท้องที่จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร สุโขทัยและอุตรดิตถ์ (ปัจจุบันรวมจังหวัด
นครสวรรค์ด้วยเพราะมีการโอนเขตจังหวัดข้างเคียงมารวมกับจังหวัดนครสวรรค์รวมเป็น 5 จังหวัด
ทีโฉนดตราจอง) ต่อมาทางราชการได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปทำการเดินสำรวจฯ เพื่อเปลี่ยนโฉนดตราจองเป็นโฉนดแผนที่โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2493 เป็นต้นมา¬
1.4.5 โฉนดแผนที่ เป็นหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินออกตามประกาศออกโฉนด
ที่ดิน ร.ศ.120 (พ.ศ.2444) และออกตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2453) โฉนดแผนที่มีแผนที่จำลองไว้ในหลังโฉนด ที่เรียกว่าโฉนดแผนที่ก็เพื่อแตกต่างจากโฉนดสวน โฉนดป่า
โฉนดตราแดง (ออกสมัยรัชกาลที่ 4) ซึ่งเป็นโฉนดอย่างเก่าที่ไม่มีแผนที่หลังโฉนดกล่าวคือ เมื่อทางราชการได้มีการออกโฉนดแผนที่ในท้องที่ใดก็บังคับให้ผู้ถือที่ดินมือเปล่าและผู้ถือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินอย่างอื่นต้องนำรังวัดที่ดินเพื่อรับโฉนดแผนที่หรือเปลี่ยนหนังสือสำหรับที่ดินเดิมเป็นรับโฉนดแผนที่ชนิดเดียวกันเสียทั้งหมด ดังปรากฏตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) ซึ่งบัญญัติว่า“ในบัดนี้มีความประสงค์จะเปลี่ยนหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินเป็นโฉนดแผนที่ทั้งหมดเพราะเหตุฉะนั้น จึงให้เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการมีอำนาจแจ้งความในราชกิจจาให้เจ้าของที่มารับโฉนดหรือเปลี่ยนโฉนดได้ทุกแห่งทุกตำบล ถ้าผู้ใดขัดขืนไม่ช่วยพนักงานกระทำการรังวัดหรือการออกโฉนดแผนที่ให้สะดวกอย่างใดให้มีโทษปรับครั้งละ 100 บาท ลงมาเป็นพินัย
แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร”
1.4.6 โฉนดที่ดิน เป็นหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีประวัติความเป็นมาเริ่ม
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากมีปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินขึ้นสู่ศาลบ่อยผลของการจัดระเบียบที่ดินเน้นหนักไปในทางแง่สำรวจตรวจเก็บภาษีอากรเกี่ยวกับที่ดินโดยเจ้าหน้าที่ผู้เก็บภาษีอากรออกหนังสือสำคัญให้เจ้าของที่ดินยึดถือไว้นั้นไม่อาจระงับข้อพิพาทโต้แย้งในปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ได้เพราะหนังสือสำคัญของเจ้าพนักงานภาษีอากรมีข้อความไม่กระจ่างว่าผู้ใดมีสิทธิอยู่ในดินเพียงใดอย่างใด ส่วนมากมักจะระบุแต่ว่าได้ทำเอาสินปลูกผลพืชพันธุ์อะไรอันควรเรียกเก็บอากรได้บ้างจึงไม่เป็นหลักฐานพอที่จะใช้สืบยันสิทธิกันระหว่างคู่พิพาทได้ พระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกระทรวงเกษตรพาณิชยการ (เดิมคือกรมนา แต่ได้ยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง) และได้โปรดเกล้าฯ ย้ายนายพลโทเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต)จากกรมยุทธนาธิการมาเป็นเสนาบดีของพระยาประชาชีพบริบาล (ผึ่ง ชูโต) ขณะนั้นยังไม่มี
บรรดาศักดิ์ซึ่งเป็นเสมียนตราอยู่ในกรมนานั้นขึ้นเป็นปลัดทูลฉลองจัดดำเนินงานในเรื่องสิทธิในที่ดินให้รัดกุมขึ้นแต่การที่จะสร้างหลักฐานเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินให้เห็นได้ชัดแจ้งลงไว้ในโฉนดจะต้องมีการทำแผนที่ระวางรายละเอียด เรียกว่า คาดัสตรัลเซอร์เวย์ (Cadastral Survey) ซึ่งเวลานั้นยังจะจัดให้ลุล่วงไปโดยเร็วมิได้เพราะช่างแผนที่มีอยู่น้อย การทำหลักฐานเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินจึงยังชะงักอยู่
ข้อ 3. การอำนวยความยุติธรรมของศาลและวิธีพิจารณาคดีความในสมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตามที่ได้ศึกษามามีเป็นประการใดบ้าง (30 คะแนน)
แนวคำตอบ
- สมัยกรุงสุโขทัย
ในสมัยนี้บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ดังคำพังเพยที่ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ประชาชนพลเมืองมีน้อย อยู่ในศีลในธรรมคดีความจึงมีไม่มาก พระมหากษัตริย์กับประชาชนมีความใกล้ชิดกัน พระมหากษัตริย์จึงทรงตัดสินคดีความด้วยพระองค์เองเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มี หลักฐานจากศิลาจารึกว่า พระมหากษัตริย์ได้ทรงมอบให้ขุนนางตัดสินคดีแทนด้วย ในสมัยนี้พอมีหลักฐานเกี่ยวกับการพิจารณาคดีจากหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง “ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปก กลางบ้านกลางเมืองมีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจมันจักกล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียก เมื่อถามสวนความแก่มันด้วยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึงชม ไพร่ฟ้า ลูกเจ้า ลูกขุนผิแลผิแผกแสกว้างกัน สวนดูแท้แล้วจึงแล่งความแก่ข้าด้วยซื่อ บ่อเข้าผู้ลักมักผู้ซ่อนเห็นข้าวท่านบ่อใคร่พิน เห็นสินท่านบ่อใคร่เดือด” จากศิลาจารึกนี้ทำให้ทราบว่า การร้องทุกข์ในสมัยนั้นร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์โดยตรง และพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ไต่สวนพิจารณาคดีด้วยพระองค์เอง หรือให้ขุนนางเป็นผู้ไต่สวนให้ถ่องแท้และตัดสินคดีด้วยความเป็นธรรม ไม่ลำเอียงและไม่รับสินบน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญใน การพิจารณาคดีในสมัยนั้น สำหรับสถานที่พิจารณาคดีที่เรียกว่า ศาลยุติธรรมนั้นในสมัยสุโขทัยไม่ปรากฏว่ามีศาล ตัดสินคดีเหมือนในสมัยนี้ แต่ก็มีหลักฐานจากหลักศิลาจารึกว่า ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงทรงใช้ ป่าตาลเป็นที่พิจารณาคดี ซึ่งพอเทียบเคียงได้ว่าเป็นศาลยุติธรรมในสมัยนั้น “1214 ศก ปีมะโรง พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยนี้ ปลูกไม้ตาลนี้ได้ 14 เท่า จึงให้ช่างฟันกระดาษเขียนตั้งหว่างกลางไม้ตาลนี้ วันเดือนดับเดือนหก 8 วัน วันเดือนเต็มเดือนบั้ง ฝูงปู่ครูเถร มหาเถรขึ้นนั่งเหนือกระดานหินสวดธรรมแก่อุบาสก ฝูงถ้วยจำศีล ผิใช่วันสวดธรรม พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยขึ้นนั่งเหนือกระดาษหิน ให้ฝูงถ้วยลูกเจ้า ลูกขุน ฝูงถ้วยถือบ้านถือเมือง ในกลางป่าตาลมีศาลา 2 อัน อันหนึ่งชื่อศาลพระมาส อันหนึ่งชื่อพุทธศาลา กระดานหินนี้ชื่อมนังคศิลาบาท” จากศิลาจารึกนี้พอเทียงเคียงได้ว่า ป่าตาลเป็นศาลยุติธรรม สมัยสุโขทัย และพระแท่นมนังคศิลาบาทเป็นเสมือนบัลลังก์ศาลในสมัยนั้น สำหรับกฎหมายที่ใช้ในสมัยสุโขทัยซึ่งปรากฎในศิลาจารึกหลักที่หนึ่งนั้น มีลักษณะคล้ายกฎหมายในปัจจุบัน เช่น กฎหมายกรรมสิทธิ์ที่ดิน “หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มัน” กฎหมายพาณิชย์ “ใครจะใคร่ค้าม้าค้า ใครจะใคร่ค้าเงินค้า ค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส” นอกจากนั้นแล้วในหลักศิลาจารึกยังกล่าวถึงกฎหมายลักษณะโจรและการลงโทษ เช่น ขโมยข้าทาสของผู้อื่น “ผิผู้ใดหากละเมิน และไว้ข้าท่านพ้น 3 วัน คนผู้นั้นไซร้ท่านจะให้ไหมแลวันแลหมื่นพัน” นอกจากกฎหมายต่าง ๆ ที่มีลักษณะเหมือนกฎหมายปัจจุบันแล้ว ยังใช้กฎหมายคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ของอินเดียด้วย สำหรับการลงโทษในสมัยสุโขทัยตามหลักศิลาจารึก กฎหมายลักษณะโจรมีโทษเพียง ปรับเท่านั้น ไม่มีหลักฐานการลงโทษที่รุนแรงถึงตาย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ ประชาชนมีไม่มากและเป็นผู้ที่เคร่งครัดอยู่ในศีลในธรรมตามหลักพุทธศาสนา ประชาชนจึงอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
-สมัยกรุงศรีอยุธยา
ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี บ้านเมืองก็เจริญขึ้นตามลำดับ ราษฎรก็เพิ่มมากขึ้น ทำให้พระราชภารกิจของพระมหากษัตริย์มีมากขึ้น จึงมิอาจทรงพระวินิจฉัยคดีความด้วยพระองค์เองได้อย่างทั่วถึงเช่นกาลก่อน จึงทรงมอบอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยอรรถคดีของอาณาประชาราษฎร์ให้แก่ ราชครู ปุโรหิตา พฤฒาจารย์ ซึ่งเป็นมหาอำมาตย์พราหมณ์ในราชสำนักและเสนาบดีต่าง ๆ เป็นผู้ว่าการยุติธรรมต่างพระเนตรพระกรรณ ทำให้พระมหากษัตริย์ไม่อาจใกล้ชิดกับราษฎรเหมือนสมัยสุโขทัย แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะดูเหมือนห่างไกลจากราษฎร แต่ว่าบทบาททางด้านการยุติธรรมนั้นกลับดูใกล้ชิดกับราษฎรอย่างยิ่ง โดยทรงเป็นที่พึงสุดท้ายของราษฎร ถ้าราษฎรเห็นว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรมในการพิจารณาคดีก็มีสิทธิที่จะถวายฎีกา เพื่อขอให้พระมหากษัตริย์พระราชทานความเป็นธรรมแก่ตนได้ ซึ่งเป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน และเมื่อพระมหากษัตริย์ทรง พระวิจารณญาณวินิจฉัยอรรถคดีใดด้วยพระองค์เอง พระบรมราชวินิจฉัยในคดีนั้นก็เป็นบรรทัดฐานที่ศาลสถิตย์ยุติธรรมพึงถือปฏิบัติสืบต่อมา ผู้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการยุติธรรมแทนพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมี 3 กลุ่มได้แก่ ลูกขุน ณ ศาลหลวง ตระลาการ ผู้ปรับ การพิจารณาคดีในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้กล่าวหาหรือผู้ที่จะร้องทุกข์ต้องร้องทุกข์ต่อจ่าศาลว่าจะฟ้องความอย่างไรบ้าง จ่าศาลจะจดถ้อยคำลงในหนังสือแล้วส่งให้ลูกขุน ณ ศาลหลวงพิจารณาว่า เป็นการฟ้องร้องตามกฎหมายควรรับไว้พิจารณาหรือไม่ ถ้าเห็นควรรับไว้พิจารณาจะพิจารณาต่อไปว่า เป็นหน้าที่ของศาลกรมไหนแล้วส่งคำฟ้องและตัวโจทก์ไปยังศาลนั้น เช่น ถ้าเป็นหน้าที่กรมนา จะส่งคำฟ้องและโจทก์ไปที่ศาลกรมนา ตระลาการศาลกรมนาก็จะออกหมายเรียกตัวจำเลยมาถามคำให้การไต่สวนเสร็จแล้วส่งคำให้การไปปรึกษาลูกขุน ณ ศาลหลวงว่ามีข้อใดต้องสืบพยานบ้าง เมื่อลูกขุนส่งกลับมาแล้ว ตระลาการก็จะทำการสืบพยานเสร็จแล้วก็ทำสำนวนให้โจทก์และจำเลยหยิกเล็บมือที่ดินประจำผูกสำนวน เพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าเป็นสำนวนของโจทก์ จำเลย แล้วส่งสำนวนคดีไปให้ลูกขุน ณ ศาลหลวง ลูกขุน ณ ศาลหลวงจะพิจารณาคดีแล้วชี้ว่าฝ่ายใดแพ้คดี เพราะเหตุใดแล้วส่งคำพิพากษาไปให้ผู้ปรับ ผู้ปรับจะพลิกกฎหมายและกำหนดว่าจะลงโทษอย่างไรตามมาตราใด เสร็จแล้วส่งคืนให้กรมนา ตระลาการกรมนาจะทำการปรับไหมหรือลงโทษตามคำพิพากษา หากคู่ความไม่พอใจตามคำพิพากษา ก็สามารถอุทธรณ์ต่อผู้บังคับบัญชาหัวเมืองนั้น ๆ ถ้ายังไม่พอใจก็สามารถถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ได้อีก ศาลในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นมี 4 ศาลตามการปกครองแบบจตุสดมภ์ โดยเริ่มที่กรมวังก่อนแล้วจึงขยายไปยังที่กรมอื่น ๆ ในตองกลางกรุงศรีอยุธยามีการตั้งกรมต่าง ๆ ขึ้นจึงมีศาลมากมายกระจายอยู่ตามกรมต่าง ๆ ทำหน้าที่พิจารณาคดีที่เกี่ยวกับกรมของตน ในช่วงกลางสมัยกรุงศรีอยุธยามีการรวมรวบกรมต่าง ๆ ขึ้นเป็นกระทรวงจึงแบ่งศาลออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ศาลความอาญา ศาลความแพ่ง สองศาลนี้ขึ้นอยู่กับกระทรวงวัง ชำระความคดีอาญาและคดีความแพ่งทั้งปวง ศาลนครบาล ขึ้นอยู่กับกระทรวงนครบาล ชำระความคดีโจรผู้ร้าย เสี้ยนหนามแผ่นดิน ทั่วไป ศาลการกระทรวง ขึ้นอยู่กับกระทรวงอื่น ๆ ชำระคดีที่อยู่ในหน้าที่ของกระทรวงนั้น ๆ ส่วนสถานที่พิจารณาคดีหรือที่ทำการของศาลในสมัยกรุงศรีอยุธยา นอกจากศาลหลวงที่ ตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวังแล้ว ศาลอื่น ๆ ไม่มีที่ทำการโดยเฉพาะ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า ที่ทำการของศาลหรือที่พิจารณาคดีคงใช้บ้านของตระลาการของศาลแต่ละคนเป็นที่ทำการ สำหรับที่ตั้งของศาลหลวงนั้นมีหลักฐานตามหนังสือประชุมพงศาวดารภาค 63ว่าด้วยตำนานกรุงเก่ากล่าวว่า ศาลาลูกขุนนอก คือศาลหลวงคงอยู่ภายในกำแพงชั้นนอกไม่สู้ห่างนัก คงจะอยู่มาทางใกล้กำแพงริมน้ำ เนื่องจากเมื่อขุดวังได้พบดินประจำผูกสำนวนมีตราเป็นรูปต่าง ๆ และบางก้อนก็มีรอยหยิกเล็บมือ ศาลหลวงคงถูกไฟไหม้เมือเสียกรุง ดินประจำผูกสำนวนจึงสุกเหมือนดินเผา มีสระน้ำอยู่ในศาลาลูกขุนใน สระน้ำนี้ในจดหมายเหตุซึ่งอ้างว่าเป็นคำให้การของขุนหลวงหาวัด ว่าเป็นที่สำหรับพิสูจน์คู่ความให้ดำน้ำในสระนั้น เพื่อพิสูจน์ว่ากล่าวจริงหรือกล่าวเท็จ
สำหรับกฎหมายในสมัยกรุงศรีอยุธยา แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
พระธรรมศาสตร์ เป็นกฎหมายดั้งเดิมของไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย เป็นหลักกฎหมายที่ลูกขุนฝ่ายในศาลหลวงจะต้องยึดถือปฏิบัติ และใช้ในการวินิจฉัยคดี มีบทกำหนดลักษณะของตุลาการ ข้อพึงปฏิบัติของตุลาการ คำสั่งสอนตุลาการ
พระราชศาสตร์ เป็นพระบรมราชวินิจฉัยในอรรถคดีของพระมหากษัตริย์ เช่น การวินิจฉัยคดีที่ราษฎรฎีกา เป็นต้น ซึ่งต้องยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติต่อมาจนกลายเป็นกฎหมาย พระราชกฎหมาย กำหนดกฎหมายอื่น ๆ เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์พระองค์ต่าง ๆ ทรงตราขึ้นตามความเหมาะสม และความจำเป็นของแต่ละสมัยที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก การลงโทษผู้กระทำผิดในสมัยกรุงศรีอยุธยามีความรุนแรงมากถึงขั้นประหารชีวิต การประหารชีวิตโดยทั่วไป ใช้วิธีตัดศีรษะด้วยดาบ แต่ถ้าเป็นคดีกบฎประหารชีวิตด้วยวิธีที่ทารุณมาก การลงโทษหนักที่ไม่ถึงขั้นประหารชีวิตจะเป็นการลงโทษทางร่างกายให้เจ็บปวดทรมานโดยวิธีต่าง ๆ เพื่อให้เข็ดหลาบ
*********************************************************************************
<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-53275843275615667642012-01-25T19:05:00.000-08:002012-01-25T19:05:08.376-08:00นโยบายกระทรวงศึกษาธิการ(26 ม.ค.55)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-pSB2HA8yUUA/TyDCpXXK2xI/AAAAAAAADNw/U2PdN3lRZ3s/s1600/Suchart.jpg" imageanchor="1" style="margin-left:1em; margin-right:1em"><img border="0" height="220" width="165" src="http://2.bp.blogspot.com/-pSB2HA8yUUA/TyDCpXXK2xI/AAAAAAAADNw/U2PdN3lRZ3s/s320/Suchart.jpg" /></a></div>
นโยบายกระทรวงศึกษาธิการ(ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช) (26 ม.ค.55)
นโยบายกระทรวงศึกษาธิการ
ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 25 มกราคม 2555
ปรัชญา
พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวถึงการศึกษาไว้ว่า "การศึกษาจะนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งของประชาชน ประชาชนที่เข้มแข็งและมีความรู้ คือทุนที่มีพลังในการต่อสู้กับความยากจน" "ต้องมุ่งการกระจายประโยชน์อย่างเท่าเทียม และต้องมองประชาชนที่ลำบากเพื่อจัดการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับทุกคน" “การศึกษาคือกุญแจสำคัญ เป็นจุดเริ่มต้นที่จำเป็นในการทำให้ความยากจนกลายเป็นอดีต”รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะดูแลพี่น้องประชาชนเหมือนคนในครอบครัว เราจะไม่ทำร้ายประชาชน เราจะไม่โกงเงินประชาชน ในด้านการศึกษา เรา "ยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง" เราดูแลลูกหลานประชาชนเหมือนลูกหลานของเรา เราดูแลครูบาอาจารย์เหมือนญาติพี่น้องเรา
ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการ จะดูแลประชาชนประหนึ่งญาติในครอบครัวจะต้องไม่มีคอร์รัปชั่น ไม่โกงนักเรียน ไม่บังคับขู่เข็ญครูบาอาจารย์ ต้องไม่เกณฑ์ครูและนักเรียนไปตอนรับผู้ใหญ่โดยไม่จำเป็น ต้องไม่ปล่อยให้ยาเสพติดแพร่กระจายในหมู่
ลูกหลานของเราเราต้องลดกฎระเบียบและงานนอกเหนือการเรียนการสอนของครู เราต้องขจัดการเรียกร้องเงินทองจากครูตอนย้ายตำแหน่ง ตอนย้ายคืนถิ่นที่อยู่ กฎเกณฑ์การประเมินครูในกรณีต่างๆ ต้องชัดเจน ลดการใช้ดุลพินิจลง เราต้องลดการชักจูงให้ครูเป็นหนี้เป็นสินล้นพ้นตัว
ในการพัฒนาการศึกษา รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเน้นปรัชญา “ความเท่าเทียม”และการนำ “เทคโนโลยี” มาใช้ เราจะจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน “ที่มีคุณภาพสำหรับเยาวชนทุกคนทุกพื้นที่" เราจะจัดการอุดมศึกษาโดย “ปั้นนักศึกษาไทยให้เป็นมืออาชีพ”
นโยบาย
1. "จัดการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับเยาวชนทุกคน" คำว่า เยาวชน คือเด็กตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 เยาวชนต้องได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกันทุกแห่งไม่ว่าในเมืองหรือชนบท ไม่ว่าจะเป็นโดยรัฐหรือเอกชน การประกอบอาชีพเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ต้องเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ รัฐบาลประกันรายได้ 300 บาทต่อคน
ต่อวัน
2. “ปั้นนักศึกษาไทยให้เป็นมืออาชีพ” คำว่า นักศึกษา คือ อุดมศึกษา อาชีวศึกษา หรือสูงกว่ามัธยมศึกษาปีที่ 6 ขึ้นไป นักศึกษาจบแล้วต้องเป็นมืออาชีพ พร้อมกับรัฐบาลประกันรายได้ปริญญาตรี 15,000 บาท ต่อเดือน โดยกำหนดเป้าหมายให้นักเรียนและนักศึกษา เติบโตเป็นพลเมืองโลกที่ทันสมัย มีทักษะหลากหลาย มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้ และอยู่ร่วมกันเป็นสังคมที่วางอยู่บนฐานความรู้การขยายโอกาสทางการศึกษา 4 ด้าน
1) โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร สิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อสามารถได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม เนื่องจากความเป็นเลิศมักอยู่ในเมือง แต่นักเรียนส่วนใหญ่อยู่ในชนบทและมีฐานะยากจน รัฐบาลจึงมีโครงการ เช่น
- โครงการ One Tablet per Child เด็กไทยฉลาดต้องมี Tablet PC ถือไปโรงเรียน จะดำเนินการแจก Tablet PC ให้เด็กชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปโรงเรียน ให้มีสัญญาณวายฟาย (Wi-Fi) ฟรี ในที่สาธารณะ
- สร้างห้องการเรียนรู้ ในพื้นที่ต่างๆ โดยมีครูมาเปิดสอนพิเศษ (โดยให้รัฐจ่ายค่าจ้างให้) แก่นักเรียนประถมศึกษา โดยติดตั้งซอฟแวร์การศึกษาและ e-Book ซึ่งจะมาแทนหนังสือเรียนตามปกติ ทำให้เกิด e-Learning เพื่อสร้าง nowledge-basedSociety
- โครงการ e-Education พัฒนาโปรแกรมและเนื้อหาที่จะพลิกโฉมโรงเรียนให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ตลอดชีวิตและส่งเสริมการศึกษาที่มีประสิทธิภาพสูงโดยใช้ระบบการศึกษาที่ตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง
- โครงการโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในฝันสู่อุดมศึกษาชั้นยอด ให้มีคณะกรรมการโรงเรียน (School Board) ที่สามารถจัดจ้างคุณครูใหญ่และครูที่มีความสามารถเป็นเลิศ สามารถอำนวยความสะดวกแก่นักเรียน เช่น หอพัก รถโรงเรียนจักรยาน ฯลฯ
- โครงการพลังครู พัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา แก้ไขปัญหาหนี้สินครู โดยลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ด้วยการอบรมคุณธรรม ทำบัญชีครัวเรือน ปรับโครงสร้างหนี้ นำหนี้นอกระบบมาเป็นหนี้ในระบบ และเพิ่มรายได้พิเศษให้เพียงพอ และขยายโอกาสใหม่ๆ
- โครงการศูนย์การศึกษานานาชาติ- หนึ่งโรงเรียนหนึ่งพยาบาล เพื่อดูแลเด็กๆ และสามารถสอนหนังสือได้ด้วย
- โรงเรียนตัวอย่างในทุกอำเภอ พัฒนาศักยภาพของโรงเรียนให้เป็นเลิศ โดยใช้การติดต่อสื่อสารด้วยวิทยาการที่ทันสมัย
2) โอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน นักเรียนสามารถเข้าเรียนได้โดยที่ผู้ปกครองและนักเรียนไม่ต้องมีความกังวลในเรื่องทุนการศึกษา รัฐบาลจึงมีโครงการ เช่น
- Smart Card เพื่อการศึกษาขั้นพื้นฐาน
- โครงการเรียนก่อนผ่อนทีหลัง ส่งคืนเมื่อมีรายได้ (Income ContingencyLoan Program)
- ทุนการศึกษาสานฝันนักเรียนไทยไปเรียนต่างประเทศ (โครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน)
- กองทุนตั้งตัวได้ ประชาชนชาวไทยจะต้องตั้งตัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี คนอยากตั้งตัวมักไม่รู้ว่าจะตั้งตัวอย่างไร แต่คนที่จะตั้งตัวมักไม่มีทรัพย์สินติดตัว การที่จะทำให้ตั้งตัวได้ก็คือ ตั้งกองทุนในมหาวิทยาลัยทั้งรัฐและเอกชน ตั้งกรรมการ มาควบคุมประกอบด้วยอาจารย์ ศิษย์เก่า ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ตัวแทนภาครัฐ และเอกชนเราใช้แนวคิดนี้ เพราะที่มหาวิทยาลัย ประกอบด้วยนักศึกษาที่กำลังจะจบ องค์ความรู้อยู่ในมหาวิทยาลัยทั้งหมด การเป็นนักธุรกิจที่มีฐานความรู้ได้เปรียบกว่า จึงสร้างผู้ประกอบการได้มากกว่า
3) โอกาสในการเพิ่มพูนและฝึกฝนทักษะ นักเรียนทุกคนสามารถเติบโตได้ในโลกที่เป็นจริงการเรียนรู้บนการทำกิจกรรม (Activity-Based Learning)
- ส่งเสริมอาชีวศึกษา ให้มีความสำคัญมากขึ้น มีความรู้ทางปฏิบัติอย่างแท้จริง เป็นมืออาชีพ__
- ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix It Center) ตั้งเป้าหมายให้มีเพียงพอ เพื่อให้บริการทุกชุมชน เป็นโครงการที่ใช้ประโยชน์จากทักษะของนักเรียนอาชีวศึกษาเพื่อให้บริการซ่อมราคาประหยัดแก่ประชาชนในชุมชน
- โครงการอัจฉริยะสร้างได้ ให้นักเรียนค้นหาความถนัดของตนเอง ในทุกๆ สาขา
- โครงการ 1 ดนตรี 1 กีฬา 2 ภาษา สนับสนุนให้เยาวชนได้มีความสามารถที่จะเข้าร่วมแข่งขัน เพื่อความเป็นเลิศทั้งระดับชาติและระดับนานาชาติ วิชาภาษาอังกฤษภาษาจีน ต้องอยู่ในบรรยากาศของเจ้าของภาษาให้มากที่สุด วิชาคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ จะต้องสร้างพื้นฐานให้แข็งแกร่ง
- ปรับปรุงหลักสูตร เลิกการท่องจำ ใช้การเรียนรู้ เนื้อหาวิชาที่เด็กสามารถเรียนรู้ได้เหมือนกัน เช่น ผ่าน Video Link รวมถึงมีการวัดผลที่มีมาตรฐานทันสมัย
- คนไทยที่อายุ 25 ปีขึ้นไปสามารถเทียบประสบการณ์ จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6ได้ สามารถเรียนในเวลา และนอกเวลา เพื่อให้ทันโลก และทันลูกหลาน
-สถาบันการศึกษาราชภัฎและอาชีวศึกษา ค้นหาตัวเองให้รู้ว่าเก่งด้านไหนส่งเสริมอาชีวศึกษา ให้มีความสำคัญมากขึ้น มีความรู้ทางปฏิบัติอย่างแท้จริง เป็นมืออาชีพ จากนั้นเปิดให้ประชาชนไปพัฒนาเพิ่มเติมทักษะด้านต่างๆ ตามที่ต้องการตามความถนัด เรียนก่อนผ่อนทีหลัง หลังจากทำงานแล้วค่อยผ่อนใช้
-จัดศูนย์ฝึกอบรม จะจัดศูนย์ฝึกในอาชีวศึกษา ให้ประชาชนเข้าไปเรียนรู้เรื่องที่สนใจ พัฒนาทักษะให้คนไทยเป็นผู้ชำนาญในสาขาต่างๆ ใช้ระบบเรียนก่อน ผ่อนทีหลัง
4) โอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต ส่งเสริมการศึกษานอกระบบ (โดยใช้ห้องสมุดพิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ ศูนย์วัฒนธรรมต่างๆ)
- โครงการ Internet ตำบล และ Internet หมู่บ้าน (ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน) เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนค้นหาความถนัดของตนเอง เรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา เพื่อการต่อยอดในสิ่งที่ต้องการทำ และสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนวิชาชีพ
-สถานที่รวมกลุ่มอย่างสร้างสรรค์แก่เด็กวัยเรียน โดยมีคอมพิวเตอร์ให้ใช้
มีวายฟาย (Wi-Fi) ให้ มีครูที่จะสอนการบ้าน
อ่านต่อ
นโยบายภาษาไทย หรือตามแนบ
http://www.moe.go.th/moe/upload/File/ST_ED_Speech24Jan12%20NEW2.pdf
นโยบายภาษาอังกฤษ
http://www.moe.go.th/moe/upload/File/Policies%20of%20Ministry%20of%20Education_24Jan12edit2.pdf
ที่มา : กระทรวงศึกษาธิการ<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-17411934548411071742011-12-12T07:34:00.000-08:002011-12-12T07:39:14.465-08:00ความประทับใจและสิ่งที่ได้รับจากการทัศนศึกษาดูงานเขตเศรษฐกิจพิเศษ จีน มาเก๊า จูไห่ เซินเจิ้น และฮ่องกง<br /> ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน 2554 – 2 ธันวาคม 2554<br /> ..................................................<br /><br /> สิ่งที่ได้รับและประทับใจจากการทัศนศึกษาดูงานของนักศึกษาหลักสูตร MBA 11 ชีวิต<br />และ MPA อีก 25 ชีวิต ของลูกศิษย์บ้านสมเด็จเจ้าพระยาในครั้งนี้คงจะตอบโจทก์ เรื่อง ของธุรกิจ<br />และระบบทุนนิยมได้ดีที่สุด มาเก๊า เป็นเมืองการพนันแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก เมืองทั้งเมืองสว่างไสว ตึกแทบทุกตึกเป็นแหล่งคาสิโน คาสิโนในมาเก๊ามีมากถึง 32 แห่ง ที่แนะนำ ฮิตๆเลยก็จะเป็น SAND CASINO , Casino Wynn , ลิซบัว, คาสิโนที่ The Venetian (อันนี้ขอบอกว่าอลังการมากๆ) ให้พก passport ไปด้วย ข้างในที่ให้เล่นก็จะมีพวก black jack , bacarrat , hi-low , rullett , slot machine และอีกมากมาย บ่อนที่มาจากลาสเวกัสดูจะไม่ได้เกรงบารมีของคาสิโนเจ้าถิ่นเลยแม้แต่น้อย แหล่งที่ตั้งก็อยู่ไม่ห่างจากคาสิโนลิสบัว และ แกรนด์ลิสบัวสักเท่าไร เจ้าพ่อใหญ่คาสิโนที่ทรงอิทธิพลที่สุดชื่อ มิสเตอร์โฮ มีภรรยา 6 คน ภรรยายคนที่ 4 (ซ้อ 4 ) ทั้งสวยและบริหารงานเก่ง ปัจจุบัน ซ้อ 4 เป็นนักการเมืองด้วย เมื่อมีนักลงทุนคาสิโนจากลาสเวกัส USA มาสร้างตึกคาสิโนในมาเก๊า ชื่อ SAND CASINO ปรากฎว่ากิจการรุ่งเรือง สามารถถอนทุนคืนภายใน 6 เดือน มือดีจึงเอาเรื่องฮวงจุ้ยเข้าเล่นงาน โดยเอาโครงการของรัฐบาลมาตั้งสวนสาธารณะด้านหน้า SAND CASINO แล้วสร้างภูเขาไฟจำลองพ่นไฟไปทาง SAND CASINO ปรากฎ SAND CASINO เจริญลงๆๆ แทบจะขายทิ้ง แต่เผอิญมีหมอฮวงจุ้ยมาแนะนำฝรั่งเจ้าของ SAND CASINO ให้สร้างน้ำตกจำลองด้านหน้าประชันกับภูเขาไฟ เพื่อดับพลังภูเขาไฟ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า SAND CASINO กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ตึกแถวร้านค้าริมถนนใกล้ๆ กับตึกคาสิโนทั้งหลายจะเป็นร้านจิวเวอรี่ขายเครื่องเพชร เครื่องทองและนาฬิการาคาแพงมากมาย ที่เหล่านักพนันเล่นพนันจนหมดตัวแล้วเอามาขายหรือจำนำเอาไว้จนหลุด ปัจจุบันมิสเตอร์โฮต้องสะเทือนอีกแล้ว เมื่อมีการถมเกาะเพิ่มขึ้นและนักลงทุนรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกาได้รับสัมปทานเข้ามาลงทุนสร้างคาสิโนใหญ่มหึมา (อีกแล้ว) ชื่อ THE VENETIAN อัครสถานแห่งความบันเทิงและคาสิโน แหล่งใหม่ล่าสุดของมาเก๊า ในบรรยายกาศจำลองแบบเมืองเวนิส ศูนย์รวมคาสิโน พร้อมร้านสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังจากทั่วโลกเกือบ 400 ร้านค้า อยู่ภายในตึก มิสเตอร์โฮพยายามเข้าไปมีเอี่ยวด้วย แต่ได้รับจัดสรรเพียงชั้น 3 ของตึก จากเรื่องนี้ทำให้เราได้พบเห็นเวทีแข่งขันแห่งธุรกิจจริง ๆ และเข้มข้นสุด ๆ ที่เจ้าพ่อบ่อนคาสิโนแห่งมาเก๊า แสตนลี่ โฮ เจ้าของบ่อนถึง 28 แห่ง ในมาเก๊า จากทั้งหมด 32 แห่ง ต่อกรกับนัดธุรกิจจากดินแดนตะวันตกอย่างบ่อนคาสิโน Sand ที่นอกจากจะใช้ศาสตร์ทางการดำเนินธุรกิจแล้วยังต้องพึ่งพาศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย <br /> ประเด็นเรื่องบ่อนคาสิโนนี้เคยมีนักการเมืองผุดไอเดียว่าจะให้มีในประเทศไทยอยู่เนือง ๆ แต่ก็ถูกคนกลุ่มใหญ่ลุกขึ้นมาคัดค้านว่าเป็นการมอมเมาประชาชนไม่เหมาะกับประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธ แล้วก็เงียบไป จริง ๆ แล้วเมื่อไทยมีกลุ่มที่ชอบเล่นการพนันอยู่มากมายได้ออกไปใช้บริการกันอยู่ในเขตชายแดนลาวและเขมรแทน ทำให้เงินไหลออกอยู่เช่นกัน สิ่งที่ได้รับแนวคิดจากการทัศนศึกษาครั้งนี้พอจะแยกเป็นประเด็นได้ ดังนี้<br /> ประเด็นที่ 1 ด้านกลยุทธ์การทำธุรกิจ ได้มองเห็นการแข่งขันของระบบทุนนิยมแบบสมบูรณ์ มีการแข่งขันกันเต็มรูปแบบ มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างเต็มที่ เช่นการใช้ประโยชน์บนที่ดินอันมีอยู่อย่างจำกัด ต้องสร้างที่พักให้สูงขึ้นไปเหนือพื้นดินมาก ๆ แทบไม่น่าเชื่อว่าห้องพักแบบคอนโดเล็ก ๆ ในฮ่องกงราคา 2 ล้านกว่าบาทขึ้นไป ถ้าคนจนรายได้ต่ำกว่า 6,000 หยวนต่อเดือน ก็ได้สิทธิ์จองที่พักของรัฐบาลที่สภาพด้อยลงมา คือเป็นตึกซิเมนต์ล้วน ไม่มีกระจกสีฟ้าติดเหมือนของเอกชน คนก็กลายเป็นเครื่องจักรให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยแท้เพราะทำงานเสร็จแล้วต้องเดินอยู่บนฟุตบาท ย่านร้านค้าต่าง ๆ จนดึก จึงเข้าไปพักผ่อนในห้องแคบ ๆการใช้ชีวิตช่างอึดอัดน่าดู<br /> ประเด็นที่ 2 กลยุทธ์การขาย อันนี้ถือว่าคนจีนมีการวางสินค้าราคาสูงไว้ก่อน และเปิดโอกาสให้มีการต่อรอง เช่น ตลาดกงเป่ยเมืองจูไห่ สินค้าก๊อปปี้มีทุกรูปแบบ ส่วนสินค้าคุณภาพของประเทศจีน เช่น ผ้าไหมและสมุนไพร จะนำเสนออีกรูปแบบหนึ่งคือ ตั้งราคาไว้สูงมากแล้วจัดให้มีการบริการเสริม เช่น แช่น้ำอุ่นนวดฝ่าเท้า ให้หมอจีนตรวจสุขภาพตามตำราโบราณ โดยการดูและจับจุดตามร่างกาย จึงบอกว่ากำลังเป็นโรคร้ายแรง เช่น ตับ ไต เป็นต้น จึงเสนอขายสินค้าตามมา สำหรับบริษัทผลิตผ้าไหม ก็เช่นกันนำเสนอที่นอนผ้าไหมปลอดไรฝุ่นดีต่อสุขภาพ แล้วตั้งราคาสูงมาก เหมือนกับสินค้าระดับ Firtclass ซึ่งน่าจะนำมาเป็นแบบอย่างในการพัฒนาสินค้าโอท็อปของบ้านเราได้<br /> ประเด็นที่ 3 เรื่องการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและขนส่งมวลชน เมื่อประเทศอังกฤษเข้ามาดูและบริหารเกาะฮ่องกงเข้าพัฒนาจากเกาะแก่งที่มาพักเสียเพื่อแวะพักเพื่อหลบพายุ จากการเดินเรือทางทะเลเท่านั้น จากเกาะหมู่กลางทะเลที่ไม่มีอะไรเลยมีแต่ภูเขาหิน ทั้งนั้น แม้แต่ต้นไม้ยังไม่เจริญเติบโต จนเป็นแหล่งธุรกิจ ที่มีมูลค่าที่ดินแพงมากมหาศาล เพราะที่ดินมีอยู่อย่างจำกัดจนต้องถมทะเลเพิ่มเพื่อสร้างสถานที่ต่าง ๆ แม้แต่สนามบินนานาชาติ Check Lap Kok ที่ดินบางแห่งเป็นที่อยู่อาศัยเพราะอยู่บนเนินเขาที่วิวสวยมองเห้นเมืองฮ่องกงทั้งเมืองก็มีราคาแพงมากเช่น Victory peak ให้เศรษฐีเปลี่ยนมือกันเป็นว่าเล่น จนรัฐบาลต้องออกมาควบคุมและที่น่าประทับใจมากอีกแห่งคือหาดน้ำตื้น (Pulse bay) มีความสวยงามมาก ทำให้หลายคนได้ขอพรเป็นศิริมงคลให้แก่ชีวิตกันอย่างชื่นมื่นที่เดียว ต้องยอมรับว่าการสร้างระบบขนส่งมวลชนได้สมบูรณ์แบบได้ยอดเยี่ยมจริงๆ มีรถไฟฟ้าวิ่งเชื่อมโยงกันทุกจุดทุกเกาะตั้งแต่สนามบินนานาชาติ Check Lap Kok เข้ามาครบ และราคาไม่แพงมาก รวมทั้งยังจัดให้มีรถเมล์วิ่งตามถนนทุกสายแทบจะไม่ต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวกันเลย เพราะถ้าใช้รถยนต์ส่วนตัวมีค่าใช้ที่จอดรถยนต์แพงเหลือเกินคงต้องมีรายได้สูงมากถึงจะใช้รถยนต์ส่วนตัวได้ จึงมองดูแล้วว่าจะมีรถยนต์ยี่ห้อหรูๆ ของนักธุรกิจเท่านั้นที่จอดอยู่ตามลานจอดรถของโรงแรม ส่วนถนนหนทางระหว่างเกาะล้วนทันสมัยมีทั้งเจาะอุโมงค์ลอดใต้ทะเล หรือสะพานแขวนเช่นสะพานชิงหม่า เป็นต้น<br /> ประเด็นที่ 4 ความรู้สึกที่ประทับใจ คือการเดินทางในครั้งนี้ประกอบด้วยนักศึกษา MBA 11 คน MPA 25 คน สถานีบริการศูนย์สารสนเทศทางวิชาการชัยภูมิ พร้อมคณาจารย์เป็นครอบครัวบ้านสมเด็จเจ้าพระยา การที่ได้เดินทางร่วมสุข ร่วมทุกข์ด้วยกัน 5 วัน 4 คืน ก่อให้เกิดความเข้าอกเข้าใจเอื้อเฟื้อต่อกัน ได้มีโอกาสลิ้มรสอาหารที่ไม่คุ้นลิ้นเช่น อาหารโปรตุเกส เป็นต้น คณาจารย์ที่ทุ่มเทประสิทธิ ประศาสตร์วิชาให้ด้วยวิญญาณความเป็นครู เช่น อาจารย์ ดร.วิเชียร อินทรสมพันธ์ และคณาจารย์ท่านอื่นที่ล้วนทรงภูมิรู้ อาจารย์ ดร.ณุศณี มีแก้วกุญชร และ รศ.ทองเอม สุ่นสวัสดิ์ มีความเป็นกันเองมาก รวมทั้งไกด์จากบริษัท เฟิร์ส เวิร์ลทัวร์ ที่ดูแลพวกเราอย่างอบอุ่น มีแจ่ว และน้ำจิ้มพาไปให้พวกเรากินได้ทุกมื้อ<br /> ประการสุดท้าย ทำให้เรารู้สึกคิดถึงและรักประเทศไทยมากยิ่งขึ้น เพราะมีความปลอดโปร่งโล่งสบาย อิสระ ไม่ต้องแก่งแย่งทรัพยากรกันอย่างหนักหนาสาหัส เหมือนประเทศเขา ขนาดที่จอดรถค่าบริการ 150 เหรียญฮ่องกงต่อวัน อย่างนี้เป็นเหตุ แม้บ้านเราจะมีนักการเมืองที่น่าเบื่อสักหน่อยก็น่าอยู่จริง ๆ<br /><br /> <br /> นายโกศล บุญคง<br /> นักศึกษาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-48596518130775956662011-11-01T09:13:00.001-07:002011-11-01T09:14:24.193-07:00แนวคำตอบข้อสอบปลายภาครายวิชานิติปรัชญา (Philosophy of Law)<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://4.bp.blogspot.com/-wJ7ocUwHocc/TrAazLuZjQI/AAAAAAAACR8/wDy11nBXqzA/s1600/temis"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 92px; height: 181px;" src="http://4.bp.blogspot.com/-wJ7ocUwHocc/TrAazLuZjQI/AAAAAAAACR8/wDy11nBXqzA/s320/temis" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5670061397482507522" /></a><br /> แนวคำตอบข้อสอบปลายภาครายวิชานิติปรัชญา (Philosophy of Law) รหัส ๒๕๖๒๖๐๑ ๓(๓-๐) <br /> โปรแกรมนิติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ<br /> ภาคเรียนที่ ๑/๒๕๕๔ออกข้อสอบโดย อาจารย์โกศล บุญคง<br />คำสั่ง ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน ๔ ข้อๆ ละ ๒๕ คะแนน รวมคะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน นักศึกษาต้อง<br />ตอบคำถามให้ครบทุกข้อและครบถ้วนทุกประเด็น<br />.....................................................................................................................................................<br /><br />ข้อ ๑. ให้นักศึกษาอธิบายความหมายโดยละเอียดในสองข้อย่อยต่อไปนี้ (๒๕ คะแนน)<br />๑.๑ให้นักศึกษาอธิบายความหมายของ “นิติปรัชญา” และในคำกล่าวที่ว่าการศึกษานิติปรัชญาดูเหมือนจะมีความเป็น อภิปรัชญา (Metaphysics)อยู่มากนั้นนักศึกษาเข้าใจว่าอย่างไร<br />แนวคำตอบ การอธิบายความหมายของคำว่า นิติปรัชญา ต้องเริ่มตั้งต้นการพิจารณาถึงความหมายของคำที่เป็นส่วนประกอบคือคำว่านิติศาสตร์ และปรัชญา<br /> เมื่อมีการแปลความหมายของ “นิติ” ในความหมายดั้งเดิมว่า “ธรรมะ” คือ ธรรมชาติ หรือ กฎธรรมชาติ สามารถแยกคำแปลได้ดังนี้<br /> กฎหมาย = ธรรม<br /> ธรรม = ธรรมชาติ, กฎธรรมชาติ<br /> ดังนั้น กฎหมาย = ธรรมชาติ, กฎธรรมชาติ<br /> กฎหมาย จึงเป็นเรื่องหน้าที่ที่มีสภาพบังคับไว้เพื่อความอยู่รอดของตัวเองและสังคมตามสภาพการณ์แห่งธรรมชาติ ส่วนคำว่า ปรัชญา คือ การแสวงหาสัจธรรม แปลว่า การแสวงหาความจริง (Truth) หรือสิ่งแท้ (Reality) หรือความฉลาด (Wisdom) <br /> ดังนั้น นิติปรัชญา หรือ Philosophy of Law จึงหมายถึง การศึกษากฎหมายอย่างตรึกตรอง มีเหตุมีผล เป็นการตรึกตรองในทางนามธรรมชั้นสูง<br /> นิติปรัชญาจึงแตกต่างจากนิติศาสตร์ในแง่...นิติศาสตร์โดยแท้...สอนกฎหมายเฉพาะเรื่อง เฉพาะสาขา แต่นิติปรัชญามิได้แยกศึกษากฎหมายเป็นเรื่อง ๆ แต่เป็นการศึกษาปัญหากฎหมายในลักษณะเจาะลึกในขั้นรากฐานว่า “กฎหมายแท้ๆ คืออะไร” ไม่ได้ศึกษากฎหมายเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งเหมือนการเรียนวิชานิติกรรม หนี้ ละเมิด ตามกฎหมายแพ่ง หรือกฎหมายอาญา<br /> กล่าวโดยสรุป นิติปรัชญาก็คือ การคิดกฎหมายอย่างปรัชญา (To Think of law pholosophically) นิติศาสตร์ หมายถึง วิชาที่มีวัตถุแห่งการศึกษาคือ กฎหมาย ซึ่งการศึกษาวิชานิติศาสตร์สามารถทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้<br /> นิติศาสตร์โดยแท้ ได้แก่การศึกษากฎหมายเพื่อวัตถุประสงค์ในการทำความเข้าใจหลักเกณฑ์หรือปทัสฐานทางกฎหมายเพื่อนำหลักเกณฑ์ไปใช้อย่างถูกต้อง โดยการศึกษาในรูปแบบนี้นักกฎหมายต้องทำการศึกษาทั้งในเชิงเนื้อหาของกฎหมาย และในเชิงนิติวิธี การใช้และการตีความกฎหมายควบคู่กันไป<br /> นิติศาสตร์ทางข้อเท็จจริง ได้แก่การศึกษากฎหมายในฐานะที่กฎหมายเป็นปรากฎการณ์หรือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นที่เกิดขี้นในสังคม ซึ่งอาจศึกษาได้ทั้งที่กฎหมายเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีตและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งจากการศึกษากฎหมายในแง่มุมดังกล่าวทำให้การศึกษากฎหมายอาจทำในรูปของวิชาประวัติศาสตร์กฎหมาย และวิชาสังคมวิทยากฎหมาย<br /> นิติศาสตร์เชิงคุณค่า ได้แก่ การศึกษากฎหมายเพื่อทราบถึงคุณค่าของกฎหมายวามีมากน้อยเพียงใด ซึ่งการจะทราบถึงคุณค่าของกฎหมายอาจกระทำได้โดยการเปรียบเทียบกับกฎหมายในประเทศอื่นๆ หรืออาจดำเนินการจัดทำกฎหมายเพื่อบังคับใช้ในสังคม จากการศึกษากฎหมายในเชิงคุณค่านี้เราอาจศึกษากฎหมายได้ในรูปของวิชากฎหมายเปรียบเทียบและวิชานิติบัญญัติ<br /> ในขณะที่ปรัชญาหรือศาสตร์ทั่วไป หมายถึง การศึกษาอย่างเป็นทั่วไป โดยมองโลกอย่างเป็นทั้งมวล ซึ่งการศึกษาในเชิงปรัชญานั้นสามารถแบ่งการศึกษาได้ สี่สาขาสำคัญ คือ<br /> อภิปรัชญา เป็นการศึกษาถึงความเป็นของสิ่งต่างๆ <br /> ญาณปรัชญา เป็นการศึกษาถึงที่มาของความรู้ การเกิดขึ้นของความรู้<br /> จริยปรัชญา เป็นการศึกษาถึงความดีของสรรพสิ่ง<br /> สุนทรียศาสตร์ เป็นการศึกษาถึงความงามของสรรพสิ่ง<br /> เหตุใด “วิญญาณกฎหมาย” จึงเป็น “ปรัชญา”ปรัชญา คือ การแสวงหาสัจธรรม แปลว่า การแสวงหาความจริง (Truth) หรือสิ่งแท้ (Reality) หรือความฉลาด (Wisdom) ในยุคกรีกโบราณเรียกว่า Philosophia โดย Philoแปลว่า รัก Sophia แปลว่า ความฉลาด แปลรวมความได้ว่าการรักและมั่นในความฉลาดและวิชาการ ดังนั้นนิติปรัชญา จึงหมายถึง การศึกษากฎหมายอย่างเป็นทั่วไป โดยมองกฎหมายอย่างเป็นทั้งมวล (As a whole) ซึ่งเราสามารถศึกษานิติปรัชญาได้ในประเด็นสำคัญสามประเด็น คือ<br /> อภิปรัชญา เป็นการศึกษาว่ากฎหมายคืออะไร<br /> ญาณปรัชญา เป็นการศึกษาว่ามนุษย์รู้กฎหมายได้อย่างไร <br /> สรุปว่านิติปรัชญา เป็นการศึกษากฎหมายอย่างทั้งมวล (As a whole) เป็นการศึกษาอย่างครอบคลุมและถึงแก่น โดยต้องเป็นการจัดสานความรู้อย่างมีระบบที่เชื่อมโยงถึงกันตลอด การคิดอย่างปรัชญาจึงไม่ใช่การคิดเอาเองอย่างเลื่อนลอย แต่ต้องเป็นการคิดอย่างใช้หลักเหตุผล โดยพิเคราะห์จากตัวกฎหมายเองว่า “กฎหมายแท้จริงแล้วคืออะไร” ถ้าตอบว่า“กฎหมายเป็นคำสั่ง”นั่นจึงมีความเป็นประเด็นของความเป็นอภิปรัชญา เพราะเป็นการศึกษาว่ากฎหมายคืออะไร กฎหมายก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเจตจำนง ซึ่งขึ้นอยู่กับจิตใจที่จะให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามใจผู้สั่ง สารัตถะของกฎหมายก็คือ เจตจำนง<br /><br />๑.๒ ให้นักศึกษาอธิบายถึงประโยชน์ของการศึกษาวิชานิติปรัชญา<br /> แนวคำตอบ ประโยชน์ของการศึกษาวิชานิติปรัชญา มีหลายประการ ดังนี้<br /> 1. เพื่อให้รู้และเข้าใจแนวความคิดทางปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังกฎหมาย<br /> 2. เพื่อให้รู้จักมองกฎหมายในเชิงปรัชญา และสามารถจำแนกแนวความคิดของสำนักกฎหมายต่างๆ ได้<br /> 3. เพื่อให้เข้าถึงวิญญาณของกฎหมาย เป็นนักกฎหมายที่มีจิตใจเป็นนักกฎหมาย (Legal mind) อย่างแท้จริง<br /> 4. เพื่อให้ผู้ศึกษามีความรู้ความเข้าใจในบทบาทหรือความสำคัญของกฎหมายในสังคม โดยเข้าใจถึงต้นกำเนิดของแนวความคิดทางนิติปรัชญาและสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้อง<br /> 5. เพื่อให้ผู้ศึกษารู้จักใช้ดุลยพินิจและหาเหตุผลกำกับการใช้ดุลยพินิจ<br /> 6. เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจความหมายคำว่า “ทำนองคลองธรรม”ด้วยความเข้าใจที่ว่า อย่างไรจึงจะได้กฎหมายที่ดีมาใช้ในสังคม ทำอย่างไรจึงจะทำให้สังคมมีความสงบสุขได้ภายใต้กฎหมาย<br />7. เพื่อให้นักศึกษามีความรู้และความเข้าใจในความหมายและขอบเขตปรัชญากฎหมาย ความ<br />เป็นมาของกฎหมาย ลักษณะที่ถูกต้องของกฎหมาย ความยุติธรรม และกฎหมายกับศีลธรรม<br />8. เพื่อให้นักศึกษานำความรู้ที่ได้จากการเรียนนิติปรัชญาไปปรับใช้กับการเรียนกฎหมายใน<br />รายวิชาอื่นๆ<br />นับว่าการศึกษาวิชานิติปรัชญาเป็นการศึกษาเพื่อก่อให้เกิด Legal mind หรือจิตใจที่เป็นนัก<br />กฎหมายอย่างแท้จริงซึ่งสามารถคิด วิเคราะห์ หรือวิจารณ์กฎหมายได้อย่างรวม ๆ การศึกษาให้รอบรู้ เข้าใจกฎหมายในลักษณะที่เป็นภาพรวมเช่นนี้ นับว่ามีความสำคัญในแง่ที่ช่วยขยายโลกทัศน์ของผู้ศึกษาให้เป็นอิสระและกว้างขึ้น ทำให้หยั่งเห็นได้ถึงรากที่มาของกฎหมาย ระบบคุณค่าต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องหลังกฎหมาย ตลอดจนความสัมพันธ์ของกฎหมายที่มีต่อสิ่งอื่น ๆ การเรียนรู้และเข้าใจกฎหมายอย่างนี้น่าจะทำให้ผู้ศึกษากฎหมายมีจิตสำนึกหรือวิจารณญาณในทางกฎหมายกว้างขวางขึ้น ต่างไปจากการเรียนรู้กฎหมายเป็นฉบับ ๆ หรือเป็นเรื่อง ๆ ดังที่เคยทำกัน เช่น กฎหมายแพ่งก็ศึกษาแต่รายละเอียดของกฎหมายแพ่ง โดยแยกเป็นทรัพย์ หนี้ นิติกรรมสัญญา หรือครอบครัวมรดก ส่วนการเรียนกฎหมายอาญาก็ศึกษาแต่รายละเอียดของตัวบทแต่ละมาตราว่ามีสาระสำคัญอย่างไร เช่น ในเรื่องของเจตนา ประมาท ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก เป็นต้น ซึ่งเป็นการเรียนในส่วนของรายละเอียดของกฎหมายแต่ละฉบับที่เข้าใจว่าถูกต้องสมบูรณ์แล้ว โดยไม่มีการตั้งคำถามว่า กฎหมายฉบับนั้น ฉบับนี้ ดีหรือไม่ดีอย่างไร หรือมันถูกเขียนหรือตราขึ้นด้วยวัตถุประสงค์อะไร มีเงื่อนไขทางสังคมอะไรบ้างที่ผลักดันให้กฎหมายนั้น ๆ เกิดขึ้น<br /><br />ข้อ ๒.นักศึกษาจงอธิบายให้เข้าใจถึงหลักการของสำนักความคิดทางกฎหมายในสองข้อย่อยต่อไปนี้(๒๕ คะแนน)<br />๒.๑ การที่รัฐบาลออกประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ ในเขตสามจังหวัดภาคใต้โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งมาตรา ๙ ดังนี้ “ มาตรา 9 ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงได้โดยเร็ว หรือป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้<br /> (1) ห้ามมิให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับยกเว้น<br /> (2) ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย<br /> (3) ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือทั่วราชอาณาจักร<br /> (4) ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ<br /> (5) ห้ามการใช้อาคาร หรือเข้าไปหรืออยู่ในสถานที่ใด ๆ<br /> (6) ให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ที่กำหนดเพื่อความปลอดภัยของประชาชนดังกล่าว หรือห้ามผู้ใดเข้าไปในพื้นที่ที่กำหนด<br /> ข้อกำหนดตามวรรคหนึ่ง จะกำหนดเงื่อนเวลาในการปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขในการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดพื้นที่และรายละเอียดอื่นเพิ่มเติม เพื่อมิให้มีการปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนเกินสมควรแก่เหตุก็ได้”<br /> ทำให้ขาดเสรีภาพในการใช้ชีวิตประจำวัน ของประชาชนโดยไม่อาจโต้แย้งได้ เป็นการออกกฎหมายที่สอดคล้องกับแนวความคิดทางกฎหมายสำนักใดจงอธิบาย<br />แนวคำตอบ สอดคล้องกับทฤษฎีปฎิฐานนิยมทางกฎหมาย หรือ“กฎหมายบ้านเมือง”กล่าวคคือจะยึดหลักการที่ว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย มีแนวคิดหลักว่ากฎหมายคือเจตจำนง หรือคำสั่งของรัฏฐาธิปัตย์ , ความสมบูรณ์ของกฎหมายอยู่ที่สภาพบังคับที่เด็ดขาด, กฎหมายนั้นไม่จาต้องผูกติดสัมพันธ์กับความยุติธรรมหรือหลักจริยธรรมใด ๆ จึงทาให้ทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย เป็นแนวคิดที่สวนทางกลับทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ ทรรศนะพื้นฐานสาคัญ 1) ข้อเท็จจริงหรือสิ่งที่เป็นอยู่จริง (Is) หาใช่เป็นสิ่งเดียวหรือ สัมพันธ์กับหลักคุณค่าบรรทัดฐานหรือสิ่งที่ควรจะเป็น (Ought) ไม่ 2) กฎหมายเป็นผลผลิตหรือเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยอานาจปกครองในสังคม แนวคิดพื้นฐานของทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย แบ่งออกเป็น 3 ประการ คือ 1. กฎหมายไม่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม 2. กฎหมายมาจากรัฎฐาธิปัตย์ 3. กฎหมายเป็นสิ่งที่มีสภาพบังคับหรือมีบทลงโทษ พัฒนาการทางทฤษฎีนี้เป็นผลทำให้การแยกทฤษฎีออกเป็นสองแบบฉบับ (Version) คือ 1. แบบฉบับดั้งเดิม ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 - เบนแธม (is กับ ought แยกออกจากกัน) เป็นนักปรัชญาและนักปฏิรูปกฎหมายคนสาคัญของชาวอังกฤษ และเป็นผู้สนับสนุนลัทธิหรือหลักอรรถประโยชน์ ซึ่งเชื่อว่า คุณค่าของการกระทาใด ๆ ล้วนต้องพิจารณาจากผลลัพธ์ในแง่อรรถประโยชน์หรือความสุขที่เกิดขึ้น - ออสติน (Austin) ทฤษฎีคาสั่งแห่งกฎหมาย ซึ่งเรียกกันในภายหลังว่า “นิติศาสตร์เชิงวิเคราะห์” ซึ่งจะเน้นที่ลักษณะภายนอกของสภาพบังคับกฎหมาย หรือเน้นที่ตัวบุคคลผู้มีอานาจออกกฎหมาย 2. แบบฉบับซึ่งได้รับการพัฒนาแก้ไขปรับปรุง ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 <br />สาระสำคัญของความคิดนักคิดในแนวนี้ได้แก่<br />1. ทฤษฎี “อำนาจอธิปไตย” ของ Jean Bodin (ฌอง โบแดง)<br />ให้ความหมายของอำนาจอธิปไตยว่าเป็นอำนาจเด็ดขาดและถาวร เป็นอำนาจสูงสุดที่มิอยู่ภายใต้บังคับของกฎเกณฑ์ใดๆแสดงออกโดยการออกกฎหมายและยกเลิกกฎหมายเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นรัฐที่แท้จริง จากคำสอนของโบแดง ทำให้เกิดความคิดที่ถือว่า “กฎหมายเป็นสิ่งที่มนุษย์บัญญัติขึ้น” ซึ่งพัฒนาไปสู่ความคิดสำนัก กฎหมายบ้านเมือง<br />2. ทฤษฎี “สัญญาสวามิภักดิ์” ของThomas Hobbes (โทมัส ฮอบส์)<br />เชื่อในอำนาจรัฐาธิปัตย์อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเชื่อว่ามนุษย์ชั่วร้าย ขัดแย้งกันตลอด จึงเข้าทำสัญญาประชาคมยกเลิกอำนาจให้รัฐาธิปัตย์เพื่อคุ้มครองรักษาให้แต่ละคนมีชีวิตรอด ซึ่งการมอบอำนาจให้รัฐาธิปัตย์นั้นเป็นการมอบอำนาจแบบสวามิภักดิ์ คือให้อำนาจเด็ดขาดให้ปกครองดูแล ลงโทษ ยอมให้ออกกฎหมายได้ ซึ่งกฎหมายคือคำสั่งของรัฐาธิปัตย์นั่นเองเครื่องมือรักษาความสงบของรัฐาธิปัตย์ คือ กฎหมายบ้านเมืองซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ทั้งโดยตรงและโดยปริยายที่รัฐสั่งการและกำหนดไว้ว่าเป็นสิ่งถูก-ผิด บังคับแก่ประชาชน เมื่อรัฐเป็น ผู้กำหนดความถูก-ผิด ยุติธรรม-อยุติธรรม จึงไม่อาจมีกฎหมายใดที่อยุติธรรมได้ เพราะเมื่อประชาชนเข้าทำสัญญาตกอยู่ใต้อำนาจรัฐแล้วเท่ากับว่าประชาชนเป็นผู้บัญญัติกฎหมายและย่อมไม่มีใครที่จะออกกฎหมายมาข่มเหงตัวเอง กฎหมายทั้งหลายจึงเป็นธรรมและประชาชนต้องยอมรับโดยดุษฎี<br />3.ทฤษฎี “กฎหมาย คือ คำสั่งของรัฐาธิปัตย์” ของ John Austin (จอห์น ออสติน)<br />กฎหมาย คือ คำสั่งของรัฐาธิปัตย์ กฎหมายที่แท้จริงสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ<br />1. กฎหมายที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดขึ้นใช้บังคับกับมนุษย์<br />2.กฎหมายที่มนุษย์กำหนดขึ้นเพื่อใช้บังคับมนุษย์ด้วยกัน<br />– กฎหมายที่มนุษย์ในฐานมีอำนาจเหนือทางการเมืองเป็นผู้กำหนดขึ้น และกฎหมายในฐานเอกชน ดำเนินการตามสิทธิเป็นผู้กำหนดขึ้น<br />– กฎหมายที่มนุษย์ไม่มีฐานกำหนดขึ้น<br />แนวคิดความยุติธรรมของสำนักกฎหมายบ้านเมือง<br />- ความยุติธรรม คือการรักษาไว้ซึ่งคำสั่งที่เป็นกฎหมายใช้อย่างมีมโนธรรม<br />-หลักความยุติธรรมสูงสุดก็คือหลักความยุติธรรมตามกฎหมาย <br />-ความยุติธรรมเป็นคุณธรรมในจิตใจมนุษย์ เป็นความรู้สึกของแต่ละบุคคล <br />ดังนั้นความยุติธรรมของแต่ละคนจึงแตกต่างกัน ความยุติธรรมจึงเป็นเรื่องของความยุติธรรมตามกฎหมายเท่านั้น ความยุติธรรมภายใต้กฎหมาย มองความยุติธรรมทำนองเดียวกับปรัชญาเคารพกฎหมายอย่างเชื่อมั่น ถือว่าเป็นความยุติธรรมตามกฎหมาย<br />ฮาร์ท (จะเน้นประสิทธิภาพของกฎหมาย) ถือว่า ระบบกฎหมายนั้นเป็นระบบแห่งกฎเกณฑ์ทางสังคมรูปแบบหนึ่ง “โดยพื้นฐานแท้จริงแล้ว การยึดมั่นของปฎิฐานนิยมทางกฎหมายในบทสรุปของแนวคิดเรื่องการแยกกฎหมายออกจากศีลธรรมนั้น ในตัวของมันวางอยู่บนเหตุผลทางศีลธรรม” และได้แบ่งกฎเกณฑ์ของ “ระบบกฎหมาย” ออกเป็น 2 ประเภท คือ กฎปฐมภูมิและกฎทุติยภูมิ ในทรรศนะของฮาร์ท ถือว่าเป็นกฎหลักสองประการที่เน้นประสิทธิภาพของกฎหมาย ทาให้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายมีความสมบูรณ์ 1) กฎปฐมภูมิ (สารบัญญัติ) หมายถึง กฎเกณฑ์ทั่วไปซึ่งวางบรรทัดฐานการประพฤติให้คนทั่วไปในสังคม และก่อให้เกิดหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามในลักษณะเป็นกฎหมายเบื้องต้นทั่วไป 2) กฎทุติยภูมิ (วิธีสบัญญัติ) หมายถึง กฎเกณฑ์พิเศษที่สร้างขึ้นมาเสริมความสมบูรณ์ของกฎปฐมภูมิ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้มากยิ่งขึ้น โดยองค์ประกอบของกฎทุติยภูมิออกเป็น 3 กฎย่อย คือ 1) กฎที่กาหนดเกณฑ์การรับรองความเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์ 2) กฎที่กำหนดเกณฑ์การบัญญัติและแก้ไขเปลี่ยนแปลง 3) กฎที่กาหนดเกณฑ์การวินิจฉัยชี้ขาดตัดสิน ข้อวิจารณ์ของ ฟูลเลอร์ (Fuller) ที่มีต่อระบบกฎเกณฑ์ของฮาร์ท ฟูลเลอร์ เป็นนักทฤษฎีฝ่ายกฎหมายธรรมชาติ ยอมรับข้อเสนอของฮาร์ทที่ว่า “กฎหมายคือระบบของกฎเกณฑ์” แต่ก็ยังยืนยันความสาคัญของเรื่องวัตถุประสงค์ภายในตัวกฎหมาย ฟูลเลอร์ ไม่เห็นด้วยอย่างมากกับการที่ฮาร์ทสรุปว่า กฎหมายเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ล้วน ๆ และไม่จำต้องเกี่ยวข้องกับหลักศีลธรรมหรือหลักคุณค่านามธรรมเสมอไป กล่าวคือ ฟูลเลอร์เห็นว่า “กฎหมายนั้นต้องสนองตอบความจำเป็นหรือวัตถุประสงค์ทางศีลธรรม กฎหมายและศีลธรรมจึงเป็นสิ่งที่ ไม่อาจแยกออกจากกันได้ กฎหมายจะต้องมีสิ่งที่อาจเรียกว่า “ศีลธรรมภายในกฎหมาย บรรจุอยู่เสมอ” และ ไม่เห็นด้วยกับฮาร์ทที่แยกกฎปฐมภูมิซึ่งเป็นกฎที่เกี่ ยวข้องกับการกาหนดพันธะหน้าที่ และกฎทุติยภูมิซึ่งเป็นกฎเกี่ยวกับการให้อานาจด้านกฎหมาย ออกจากกันโดยเด็ดขาด เพราะในบางสถานการณ์กฎอันเดียวกันอาจให้ทั้งอานาจและกาหนดหน้าที่ ไม่จากัดบทบาทเพียงอย่างหนึ่งอย่างใด หากแต่ต้องแปรผันไปตามสภาพแวดล้อม ข้อวิจารณ์ของ ดวอร์กิ้น (Dworkin) ที่มีต่อระบบกฎเกณฑ์ของฮาร์ท <br />ดวอร์กิ้น วิจารณ์แนวคิดเรื่อง “ระบบแห่งกฎเกณฑ์” โดยเห็นว่า การถือว่ากฎหมายเป็นเพียงเรื่องระบบแห่งกฎเกณฑ์ตามความคิดของฮาร์ทนั้น เป็นข้อสรุปที่ไม่สมบูรณ์และคับแคบเกินไป เพราะจริง ๆ แล้ว “กฎเกณฑ์” ไม่ใช่เนื้อหาสาระเดียวในกฎหมาย การมองกฎหมายว่าเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์เท่านั้นไม่ เป็นสิ่งที่เพียงพอ กฎเกณฑ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกฎหมายเท่านั้น แท้จริงแล้วยังมีเนื้อหาสาระสาคัญอื่น ๆ ซึ่งประกอบอยู่ภายในกฎหมาย ที่สาคัญคือเนื้อหาสาระที่เป็นเรื่องของ “หลักการ” ทางศีลธรรม หรือความเป็นธรรม ดวอร์กิ้นถือว่า “หลักการ” เป็นมาตรฐานภายในกฎหมายซึ่งต้องเคารพรักษา ซึ่ง “หลักการ” ต่างกับ “กฎเกณฑ์” ตรงที่กฎเกณฑ์มีลักษณะใช้ได้ทั่วไปมากกว่า ขณะที่หลักการต้องเลือกปรับใช้ในบางคดี ในจุดนี้ ดวอร์กิ้น ได้ยกตัวอย่างที่เขาต้องการชี้ให้เห็นความแตกต่าง ระหว่าง “หลักการ” และ “กฎเกณฑ์" เช่น คดี Henningsen V. Bloomfield Motors ซึ่งมีประเด็นสำคัญว่า บริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์สามารถจำกัดความรับผิดของตนในความเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากความบกพร่องใน การผลิตได้เพียงใด ในเมื่อได้ทำสัญญาโดยตกลงว่าความรับผิดของบริษัทผู้ผลิตจำกัดเพียงการซ่อมแซมส่วนที่บกพร่องให้ดีเท่ำนั้น ต่อมาเมื่อได้เกิดความเสียหายขึ้น ผู้ซื้อโต้แย้งว่าบริษัทไม่ควรได้รับการคุ้มครองโดยข้อจำกัดของสัญญาดังกล่าว โดยควรต้องรับผิดชอบต่อค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เนื่องจากการชนกันของรถซึ่งเป็นผลจากความบกพร่องของรถยนต์ คดีนี้ ผู้ซื้อไม่สามารถอ้างกฎหมายหรือหลักนิติธรรมที่ หนักแน่นใด ๆ ซึ่งห้ามบริษัทผู้ผลิตไม่ให้ทำข้อตกลงในลักษณะดังกล่าว ศาลเห็นพ้องกับคำร้องขอของผู้ซื้อ โดยให้เหตุผลว่า แม้หลักเรื่องเสรีภาพในการทำสัญญาจะเป็นหลักการสำคัญในกฎหมาย แต่ก็หาใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ บริษัทผู้ผลิตต้องมีภาระเป็นพิเศษในเรื่องการสร้าง การโฆษณาและการขายรถยนต์ของตน ศาลไม่ยอมปล่อยให้อยู่ใต้บังคับของข้อตกลงต่อรองซึ่งคู่กรณีฝ่ายหนึ่งได้ฉกฉวยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ อย่างไม่เป็นธรรมจากอีกฝ่ายหนึ่ง (ในเรื่องคดีนี้ อาจยกตัวอย่างคดีอื่นๆ ได้) ดวอร์กิ้นเห็นว่า มาตรฐานที่ศาลใช้เป็นเหตุผลของคาพิพากษามิใช่สิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นกฎเกณฑ์ทางกฎหมาย แต่คือหลักการทางกฎหมาย ในการมองธรรมชาติของกฎหมายว่ามิใช่เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์หรือระบบแห่งกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมีสาระของเรื่องหลักการประกอบอยู่ด้วย ความเชื่อตรงนี้ทำให้ดวอร์กิ้นวิพากษ์วิจารณ์ฮาร์ทอย่างมากในเรื่องการใช้ดุลพินิจของผู้พิพากษานอกเหนือกฎหมาย ในการตัดสินคดีที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ในลักษณะคล้ายเป็นการตรากฎหมายขึ้นใหม่ ซึ่งฮาร์ทถือว่าทาได้ แต่ดวอร์กิ้นไม่ยอมรับดุลพินิจเช่นนี้ โดยเชื่อว่าผู้พิพากษาสามารถค้นหาคาตอบได้จากหลักการภายในกฎหมายมิใช่ใช่ดุลพินิจบัญญัติกฎหมายขึ้นมาเอง<br /><br />๒.๒ การที่มีผู้กล่าวว่า “นักกฎหมายคือวิศวกรของสังคม” นั้นเป็นแนวคิดทางกฎหมายของนักกฎหมายในสำนักกฎหมายใด จงอธิบายแนวคิดของสำนักกฎหมายดังกล่าว และท่านคิดว่าจะมีวิธีการใดบ้างที่ตัวท่านจะสามารถเป็นวิศวกรสังคมได้ จงอธิบายโดยละเอียด<br />แนวคำตอบ นิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา หมายถึง การนำเอาสังคมวิทยาไปใช้ในทางนิติศาสตร์ เพื่อสร้างทฤษฎีกฎหมายและทฤษฎีที่ได้จะนำไปสร้างกฎหมายอีกชั้นหนึ่งนั่นเอง เป็นทฤษฎีทางกฎหมายที่ก่อตัวขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ของตะวันตก ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมตะวันตกอยู่ในภาวะของการเปลี่ยนแปลงจากสังคมประเพณีที่ไม่ซับซ้อนสู่สังคมอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน เอารัดเอาเปรียบ ทำให้เกิดชนชั้นกรรมกรผู้ใช้แรงงานซึ่งเข้ามามีบทบาททางการเมืองด้วย ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาเป็นทฤษฎีทางนิติปรัชญาที่เน้นบทบาทความสัมพันธ์ของกฎหมายต่อสังคม เป็นการพิจารณาถึงบทบาทหน้าที่ของกฎหมายยิ่งกว่าการพิจารณาแต่เนื้อหาของกฎหมายซึ่งเป็นนามธรรม และที่สำคัญเป็นการเน้นบทบาทของกฎหมายไปในทางที่จะมุ่งสร้างกฎหมายให้เป็นกลไกของการปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนบุคคล<br />รูดอล์ฟ ฟอน เยียริ่ง (Rodolf Von Ihering) นักนิติศาสตร์ชาวเยอรมันซึ่งเป็นก่อตั้งทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาได้วางหลักพื้นฐานทฤษฎีนี้ว่า กฎหมายเป็นเพียงกลไกหรือวิธีการ (mean) ที่จะนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (end) โดยกฎหมายต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของสังคม และกลไกของกฎหมายมีบทบาทในการสร้างความสมดุล หรือการจัดลำดับชั้นความสำคัญระหว่างประโยชน์ของเอกชนกับประโยชน์ของสังคม<br /> ต่อมา ลีออง ดิวกี (Leon Duguit) นักนิติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส และ รอสโก พาวด์ (Ronscoe Pound) ได้วางทฤษฎีอื่นเสริมทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดย Pound สร้างทฤษฎีวิศวกรรมสังคม (Social Engineering Theory) ขึ้นจากการพิจารณาว่ากฎหมายเป็นกลไกหรือเครื่องมือที่สร้างขึ้นเพื่อคานผลประโยชน์ต่างๆ ในสังคมเพื่อให้เกิดความสมดุล เสมือนเป็นการก่อสร้างหรือกระทำวิศวกรรมสังคม และผลของการพิจารณาบทบาทของกฎหมายเช่นนี้ ทำให้มีการสร้างหรือตรากฎหมายในลักษณะเข้าไปแทรกแซงการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจหรือถ่วงดุลผลประโยชน์ต่างๆ ในสังคมให้มีความเสมอภาค หรือเป็นธรรมมากขึ้น <br /> ดังนี้ เราอาจมองทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาได้ 2 ประการ คือ 1.ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาเป็นทฤษฎีในแง่ต้นกำเนิด (origin) ของกฎหมายซึ่งมองว่ากฎหมายเป็นผลิตผลของสังคม และ 2.ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา พิเคราะห์อิทธิพลของกฎหมายที่มีต่อสังคม และกฎหมายเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการควบคุมพฤติกรรมของสังคมหรือเป็นวิศวกรรมสังคมหรือเป็นทฤษฎีที่ใช้ในการจัดระเบียบสังคม<br />ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยานี้เป็นแนวความคิดหรือทฤษฎีทางนิติศาสตร์ที่เน้นบทบาทของกฎหมายต่อสังคม การพิจารณากฎหมายโดยยึดถือคุณค่าทางสังคมวิทยาอันเป็นการพิจารณาถึงบทบาทหน้าที่ของกฎหมายหรือการทำงานของกฎหมายมากกว่าการสนใจกฎหมายในแง่ที่เป็นเนื้อหาสาระ จากนั้นก็ไปเน้นเรื่องบทบาทของนักกฎหมายในการจัดระเบียบผลประโยชน์ของสังคม เน้นวิธีการตรากฎหมายขึ้นมาเพื่อใช้แก้ปัญหาต่างๆของสังคม โดยเฉพาะการสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวมหรืออรรถประโยชน์ของสังคม<br />รอสโค พาวนด์ (Roscoe Pound) เป็นผู้ที่พัฒนาทฤษฎีนิติศาสน์เชิงสังคมวิทยาให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นในเชิงปฏิบัติ โดนพาวนด์ได้สร้างทฤษฎีผลประโยชน์ที่รู้จักกันในนามทฤษฎีวิศวกรรมสังคมขึ้น เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับคานผลประโยชน์ต่างๆ ในสังคมให้เกิดความสมดุล R. Pound ได้นำเสนอทฤษฎีวิศวกรรมสังคม ซึ่งเป็นชื่อของทฤษฎีว่าด้วยผลประโยชน์เรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเพราะแนวคิดที่มุ่งสร้างกฎหมายที่การคานผลประโยชน์ต่างๆ ในสังคมให้เกิดความสมดุลประหนึ่งการก่อสร้างหรือวิศวกรรมสังคม จึงเป็นที่รู้จักกันต่อมาในนาม “ทฤษฎีวิศวกรรมสังคม” หรือ “Social Engineering Theory” ทฤษฎีวิศวกรรมสังคมของรอสโค พาวนด์ แบ่งอธิบายเป็น 3 หัวข้อ ได้แก่<br />1 ความหมายของผลประโยชน์<br />2 ประเภทของผลประโยชน์<br />3 วิธีการคานหรือถ่วงดุลผลประโยชน์<br />รอสโค พาวนด์ ให้ความหมายของผลประโยชน์ว่าคือ “ข้อเรียกร้อง ความต้องการ หรือความปรารถนาที่มนุษย์ต่างยืนยันเพื่อให้ได้มาอย่างแท้จริง และเป็นภารกิจที่กฎหมายต้องกระทำการอันใดอันหนึ่ง เพื่อสิ่งเหล่านี้หากต้องการธำรงไว้ซึ่งสังคมอันเป็นระเบียบเรียบร้อย” ผลประโยชน์ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่กฎหมายมีหน้าที่ต้องตอบสนอง แต่จะได้มากน้อยเพียงใดแก่แต่ละบุคคลนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสำคัญหรือผลกระทบของผลประโยชน์ที่จะได้รับ จึงต้องนำวิธีการคานผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง <br />โดยเขาแบ่งผลประโยชน์ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่<br />1.ผลประโยชน์ของปัจเจกชน คือ ข้อเรียกร้อง ความต้องการ ความปรารถนา และความคาดหมายในการดำรงชีวิตของปัจเจกชน ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพส่วนตัว ความสัมพันธ์ทางครอบครัว อันเกี่ยวข้องกับบิดามารดา สามีภรรยา และบุตรธิดาต่างๆ หรือการมีทรัพย์สินส่วนบุคคล เสรีภาพในการทำสัญญาการจ้างแรงงาน เป็นต้น<br />2.ผลประโยชน์ของมหาชน คือ ข้อเรียกร้อง ความต้องการ หรือความปรารถนาที่ปัจเจกชนยึดมั่นอันเกี่ยวพันหรือเกิดจากจุดยืนในการดำรงชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมือง อันได้แก่ผลประโยชน์ของรัฐในฐานะที่เป็นนิติบุคคลที่จะครอบครองหรือเวนคืนทรัพย์สิน รวมทั้งผลประโยชน์ของรัฐในฐานะผู้พิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของสังคม<br />3.ผลประโยชน์ทางสังคม คือ ข้อเรียกร้อง ความต้องการ หรือความปรารถนาที่พิจารณาจากแง่ความคาดหมายในการดำรงชีวิตทางสังคม อันรวมถึงความปลอดภัย ศีลธรรมทั่วไป ความเจริญก้าวหน้า<br />ผลประโยชน์แต่ละประเภทมีค่าเป็นกลางๆ ไม่มีผลประโยชน์ประเภทใดสำคัญเหนือกว่าผลประโยชน์อีกประเภทหนึ่ง และการแบ่งแยกประเภทของผลประโยชน์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นเสมือนบัญชีรายชื่อที่อาจมีการเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา<br />วิธีการคานหรือถ่วงดุลผลประโยชน์ รอสโค พาวนด์ ให้นำเอาผลประโยชน์แต่ละประเภทมาคานผลประโยชน์กันให้เกิดการขัดแย้งน้อยที่สุดในสังคมแบบการกระทำวิศวกรรมสังคม ซึ่งจำต้องมองความสมดุลในแง่ผลลัพธ์ที่จะส่งผลกระทบกระเทือนให้น้อยที่สุดต่อโครงสร้างแห่งระบบผลประโยชน์ทั้งหมดของสังคม หรือผลลัพธ์ที่เป็นการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ พร้อมกับการสูญเสียที่น้อยที่สุดต่อผลประโยชน์รวมทั้งหมดของสังคม<br />รอสโค พาวนด์ ถือว่าการคานผลประโยชน์และวิธีการต่างๆ ในการกระทำวิศวกรรมสังคมที่กล่าวมาของพาวนด์ นับว่าเป็นหัวใจสำคัญยิ่งในทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา ซึ่งพาวนด์ถือว่าเป็นก้าวย่างใหม่ของการศึกษา และเป็นเสมือนการก้าวสู่จุดสุดยอดของนิติปรัชญานับแต่อดีตกาลมา รวมทั้งเป็นการขยายบทบาทของนักนิติศาสตร์หรือนักทฤษฎีให้ลงมาสัมผัสกับโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น แทนที่จะหมกมุ่นกับการถกเถียงเชิงนามธรรมในปรัชญากฎหมายเท่านั้น<br />วิธีการที่ตัวท่านจะสามารถเป็นวิศวกรสังคมได้ต้องนำเอาข้อคิดของรอสโค พาวนด์ ที่เขายังเสนอข้อคิดหรือภาระสำคัญ 6 ประการของนักนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา ไว้ว่า<br />1.ต้องศึกษาถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงของสถาบันทางกฎหมายและทฤษฎีกฎหมาย<br />2.ต้องศึกษาเชิงสังคมวิทยาในเรื่องการตระเตรียมการนิติบัญญัติโดนเฉพาะในเรื่องของผลการนิติบัญญัติเชิงเปรียบเทียบ<br />3.ต้องศึกษาถึงเครื่องมือหรือกลไกที่จะทำให้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายมีประสิทธิภาพ โดยถือว่า “ความมีชีวิตของกฎหมายปรากฏอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย”<br />4.ต้องศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายเชิงสังคมวิทยาด้วยการตรวจพิจารณาดูว่า ทฤษฎีกฎหมายต่างๆได้ส่งผลลัพธ์ประการใดบ้างในอดีต <br />5.ต้องสนับสนุนให้มีการตัดสินคดีบุคคลอย่างมีเหตุผลและยุติธรรม ซึ่งมักอ้างเรื่องความแน่นอนขึ้นแทนที่มากเกินไป<br />6.ต้องพยายามทำให้การบรรลุจุดมุ่งหมายของกฎหมายมีผลมากขึ้น<br />ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สรุปสาระสำคัญข้อคิดต่อนักกฎหมายของรอสโค พาวนด์ ได้คือ<br />1.ใส่ใจต่อหลักการใหม่ๆ<br />2.ใส่ใจต่อพฤติกรรมมนุษย์<br />3.สนใจเศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา และปรัชญา <br />4.ผลักดันกฎหมายในทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับตัวบท<br /><br />ข้อ ๓. หลักนิติธรรม (Rule of Law) และการดื้อแพ่ง (Civil Disobedience) คืออะไร Dicey และ Rawls ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องข้างต้นว่าอย่างไร (๒๕ คะแนน)<br />แนวตอบ หลักนิติธรรม หมายถึง การเคารพเชื่อฟังต่อกฎหมาย หรือ การที่รัฐบาลต้องปกครองด้วยกฎหมายและอยู่ภายใต้กฎหมาย (นั่นคือ กฎหมายจะสูงสุด) นอกจากนี้ยังมีความหมายของหลักนิติธรรมตามที่มีบุคคลต่าง ๆ ได้ให้นิยามความหมายไว้ที่สาคัญ ดังนี้ อริสโตเติ้ล “ปัญญาที่ตัดขาดแล้วจากอารมณ์ความรู้สึก ” ไดซีย์ มีนัย 3 ประการ คือ 1. การที่ฝายบริหารไม่มีอานาจลงโทษบุคคลใดได้ตามอำเภอใจ <br /> 2. ไม่มีบุคคลใดอยู่เหนือกฎหมาย <br /> 3. หลักทั่วไปของกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเป็นผลมาจากคำวินิจฉัย ตัดสินของศาลหรือกฎหมายธรรมดา (เฉพาะประเทศอังกฤษ) มิใช่เกิดจากการรับรองค้ำประกันเป็นพิเศษโดยรัฐ ธรรมนูญ ดังกรณีของรัฐธรรมนูญประเทศอื่น <br />ลอน ฟุลเลอร์ - ให้ความสาคัญกับ "วัตถุประสงค์" เป็นสาระสาคัญ - ทำให้เราสามารถเข้าใจกฏหมายที่สร้างขึ้นได้ดี กฏหมายจำต้องอยู่ภายใต้ศีลธรรม หรือที่เรียกว่า "ศีลธรรมภายในกฏหมาย" วัตถุประสงค์เป็นสิ่งจาเป็นในการเข้าถึงระบบกฏเกณฑ์ต่าง ๆ กฏหมายธรรมชาติในเชิงกระบวนการ มี 8 ประการ กล่าวคือ 1. กฏหมายมีลักษณะทั่วไป 2. กฏหมายต้องมีการตีพิมพ์ เผยแพร่ 3. กฏหมายไม่มีผลในการบังคับย้อนหลัง 4. กฏหมายต้องมีความชัดเจน 5. กฏหมายต้องไม่ขัดแย้งกัน 6. กฏหมายไม่บังคับในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ 7. กฏหมายต้องมีลักษณะที่มั่นคง แน่นอน 8. กฏหมายต้องประกาศใช้กับใช้ไปในคราวเดียวกัน<br /> ไดซีย์ได้กล่าวอย่างน่าสนใจว่า “หลักนิติธรรมนั้นตรงกันข้ามกับรัฐบาลทุกระบบที่บุคคลผู้มีอานาจสามารถใช้อำนาจจับกุมคุมขังบุคคลใดได้อย่างกว้างขวางโดยพลการหรือตามดุลพินิจของตนเอง” คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) เน้นย้ำถึงเรื่องการมีสิทธิเสรีภาพและการยอมรับในศักดิ์ศรีของมนุษย์ เชื่อว่าเป็นคุณสมบัติอันจำเป็นสาหรับความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง โดยมีกลุ่มสิทธิ 2 ประเภทที่เน้นย้ำความสาคัญ คือ สิทธิทางแพ่งและทางการเมืองประการหนึ่ง และสิทธิทางเศรษฐกิจและสังคมอีกประการหนึ่ง สำหรับประเทศไทย สิทธิมนุษยชนโดยหลักนิติธรรม มีปรากฏใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เช่น - มาตรา 4 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง - มาตรา 26 การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ - มาตรา 28 บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ และประเทศที่เป็นนิติรัฐนั้นจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้<br />1. ในประเทศนั้นกฎหมายจะต้องอยู่เหนือสิ่งใดทั้งหมด การกระทำต่างๆ ในทางปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำของตำรวจจะต้องเป็นไปตามกฎหมายและชอบด้วยกฎหมาย หลักประกันสิทธิและเสรีภาพของราษฎรอยู่ที่กฎหมาย ถ้าเจ้าพนักงานของรัฐมากล้ำกลายสิทธิและเสรีภาพของราษฎร โดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจ เจ้าพนักงานก็ย่อมมีความผิดอาญา<br />2.ในประเทศที่เป็นนิติรัฐ ขอบเขตแห่งอำนาจหน้าที่ของรัฐย่อมกำหนดไว้แน่นอน เริ่มตั้งแต่การแบ่งแยกอำนาจและมีขอบเขตในการใช้อำนาจทั้งสามนี้ ถัดจากอำนาจรัฐ อำนาจของเจ้าพนักงานที่ลดหลั่นลงมาเป็นอำนาจที่วัดวัดได้ เป็นอำนาจที่มีขอบเขตเช่นเดียวกัน และต้องมีการควบคุมการใช้อำนาจภายในขอบเขตเท่านั้น<br />3.ในประเทศที่เป็นนิติรัฐ ผู้พิพากษาต้องมีอิสสระในการพิจารณาพิพากษาคดี โดยจะต้องมีหลักประกันดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญและเพียงแต่รัฐได้จัดให้มีผู้พิพากษาเป็นอิสสระสำหรับพิจารณาคดีแพ่งและคดีอาญาเท่านั้น<br />การดื้อแพ่งกฎหมาย คือ การกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายโดยสันติวิธี เป็นการกระทำเชิงศีลธรรม ในลักษณะของการประท้วงคัดค้านต่อกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมหรือต่อการกระทำของรัฐบาลที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง โดยการขัดขืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ให้ความร่วมมือ โดยต้องมีเหตุผลรองรับที่เชื่อถือได้ จึงจะสามารถยกเว้นหลักทั่วไปที่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย วิวาทะเรื่องการดื้อแพ่งกฎหมายของประชาชน - ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ยืนยันว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายที่ทุกคนต้องเชื่อฟังโดยไม่มีข้อยกเว้นใด - ฝ่ายที่เห็นด้วย ยืนยันว่า กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมไม่ใช่กฎหมาย<br />จอร์ห รอลส์ (John Rawls) ให้นิยามการดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชนว่า คือการฝ่าฝืนกฎหมายด้วยมโนสำนึก ซึ่งกระทำโดยเปิดเผยในที่สาธารณะ โดยไม่ใช้ความรุนแรง และเป็นการกระทำในเชิงการเมืองที่ปกติมุ่งหมายจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาล<br /><br />รอลส์ให้ความเห็นชอบในการดื้อแพ่งกฎหมายของประชาชน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขแห่งความชอบธรรมตามที่กำหนดต่อไปนี้<br />1. ต้องเป็นการกระทำที่มีจุดประสงค์ของการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นแก่สังคม อันเป็นการกระทำในเชิงการเมือง แต่ต้องมิใช่เป็นการมุ่งทำลายระบบกฎหมายทั้งหมดหรือรัฐธรรมนูญ (Constitution Theory of Civil Disobedience)<br />2.ต้องเป็นกฎหมายที่ขาดความชอบธรรมเป็นอย่างยิ่ง อันฝ่าฝืนหลักธรรมขั้นพื้นฐานหรืออิสรภาพขั้นมูลฐาน เช่น เรื่องความเสมอภาคเท่าเทียม (Equal Liberty)<br />3.ต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติการซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้าย<br />4.การต่อต้านกฎหมายต้องกระทำโดยสันติวิธีโดยเปิดเผย (Public Act)<br />การดื้อแพ่งต่อกฎหมายฯ มีความสัมพันธ์กับหลักนิติธรรม (The Rule 0f Law ) โดยตรงเพราะว่าการที่รัฐบาลต้องปกครองด้วยกฎหมายและอยู่ภายใต้กฎหมายถือว่าเป็นนิติรัฐโดยสมบูรณ์แล้วการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายโดยสันติวิธี เป็นการกระทำเชิงศีลธรรม ในลักษณะของการประท้วงคัดค้านต่อกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมหรือต่อการกระทำของรัฐบาลที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง โดยการขัดขืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ให้ความร่วมมือที่เรียกว่าการดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชน (Civil Disobedience) ย่อมไม่เกิดขึ้น<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />ข้อ ๔. นักศึกษาจงอธิบายความรู้เกี่ยวกับความยุติธรรมในสองข้อย่อยต่อไปนี้ (๒๕คะแนน)<br />๔.๑ ความยุติธรรมหมายถึงอะไร และให้อธิบายถึงแนวคิดเกี่ยวกับความยุติธรรมของนักปราชญ์ที่ท่านรู้จักประกอบด้วย<br />แนวคำตอบ ความยุติธรรมตามพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานฯ หมายถึง 1. ความเที่ยงธรรม คือ การไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 2. ความชอบธรรม คือ ความชอบธรรมตามความหมายในกฎหมาย (นิตินัย) กับ ความชอบธรรมตามหลักธรรม 3. ความชอบด้วยเหตุผล เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของแต่ละบุคคล ถ้าคิดว่าชอบด้วยเหตุผลก็ถือว่ายุติธรรม ความยุติธรรมตามทัศนะของนักคิดที่ได้นำเสนอความหมายไว้ อาทิเช่น เซฟาลุส: ความยุติธรรม คือ การพูดความจริงและคืนหรือให้สิ่งที่คนๆ หนึ่งควรจะได้<br />โพลีมาคุส : ความยุติธรรม คือ การกระทำต่อบุคคลอื่นอย่างเหมาะสม “ดีต่อมิตร และร้ายต่อศัตรู”ทราซีมาคุส: ความยุติธรรม หมายถึง ผลประโยชน์ของผู้ที่แข็งแรงกว่า --- Peloponnesian War (Melian Dialogue)โกลคอน อาไดแมนตัส: ความยุติธรรม คือ ผลที่เกิดขึ้นจากความกลัว เดวิด ฮูม (David Hume) เหตุแวดล้อมของความยุติธรรมในทรรศนะของฮูม สรุปได้เป็น 3 ประการ คือ 1. ความยากไร้ปานกลาง 2. ความเห็นแก่ตัวปานกลาง 3. ความเสมอภาคเชิงสัมพัทธ์ พิทากอรัส (Pythagoras) นำเสนอว่า “ ความยุติธรรมเปรียบเทียบได้กับตัวเลขยกกำลังสอง ให้ความเท่ากันคืนแก่สิ่งที่เท่ากัน เพลโต (Plato) นักปรัชญาชาวกรีก ได้ให้ความหมายของความยุติธรรม ในงานเขียนเรื่อง “อุตมรัฐ” ว่าคือ “การทำกรรมดี หรือการทำสิ่งที่ถูกต้อง” ความยุติธรรมในสายตาของเพลโตเป็นเสมือนองค์รวมของคุณธรรม และเป็นคุณธรรมที่สำคัญที่สุด ยิ่งกว่าคุณธรรมอื่นใด และถือว่าความยุติธรรมจะถูกค้นพบด้วยอาศัยปัญญาหรือการไตร่ตรองเชิงปัญญาอย่างลึกซึ้งความยุติธรรมของเพลโตไม่ได้มีความหมายแคบเพียงว่า ความเที่ยงตรงหรือความไม่ลำเอียง แต่หมายถึงสิ่งที่เป็นความดี ความเหมาะสมร่วมกันที่จะบันดาลความสุขให้กับมนุษย์และชุมชน/รัฐ<br />สำหรับเพลโต ความยุติธรรมเป็นทั้งคุณธรรมของบุคคลและของชุมชน/รัฐ เพราะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบุคคลและรัฐและชุมชน อริสโตเติ้ล (Aristotle) ซึ่งเป็นศิษย์ของเพลโต แต่มีความเห็นต่างกับเพลโต โดยอริสโตเติ้ล มองความยุติธรรมว่า เป็นคุณธรรมเฉพาะเรื่องหรือเป็นคุณธรรมพิเศษเรื่องหนึ่งท่ามกลางคุณธรรมที่มีหลากหลายในสังคม ซึ่งได้อธิบายทฤษฎีเรื่องความยุติธรรมไว้อย่างเป็นระบบ โดยได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ หมายถึง หลักความยุติธรรมซึ่งมีลักษณะเป็นสากล ใช้ได้ต่อมนุษย์ทุกคน ไม่มีขอบเขตจำกัด ซึ่งค้นพบได้โดยเหตุผลบริสุทธิ์ของมนุษย์ 2. ความยุติธรรมตามแบบแผน หมายถึง ความยุติธรรมซึ่งเป็นไปตามตัวบทกฎหมายของบ้านเมือง หรือธรรมนิยมปฏิบัติของแต่ละสังคมหรือชุมชน ซึ่งอาจจะเข้าใจแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานที่ และอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา หรือความเหมาะสม ประเภทของความยุติธรรม <br />1. ความยุติธรรมตามแบบพิธีและความยุติธรรมตามเนื้อหา ความยุติธรรมตามกฎหมาย (ความยุติธรรมตามแบบพิธี) มีข้อจำกัดของความแข็งกระด้าง ไม่เปิดช่องให้บุคคล ความยุติธรรมทางสังคม มีความหมายเดียวกันกับคาว่า ความยุติธรรมในการแบ่งสันปันส่วน เกี่ยวข้องกับการ 2. ความยุติธรรมตามแบบอนุรักษ์นิยมและแบบก้าวหน้า ความยุติธรรมทางสังคมแบบอนุรักษ์นิยมจะเน้นหนักในเรื่องการรักษาความเป็นระเบียบแบบแผนของสังคมที่เป็นอยู่ เน้นความสาคัญของสิทธิหรือการสมควรได้รับ (การแบ่งปัน การกระจาย ผลประโยชน์) ตามสิทธิ ความยุติธรรมทางสังคมแบบก้าวหน้าจะเน้นความสาคัญของคุณธรรมเรื่องความเสมอภาค หลักความยุติธรรมที่มนุษย์ในจุดเริ่มต้นเห็นพ้องต้องกันจะต้องประกอบด้วยหลักการสาคัญ 2 ข้อคือ 1. มนุษย์แต่ละคนต้องมีสิทธิเท่าเทียมกันในเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างมาก 2. ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคมต้องได้รับการจัดระเบียบให้เป็นธรรมในเรื่องความไ ม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ เป็นประโยชน์มากที่สุดแก่คนที่เสียเปรียบหรือด้อยโอกาสที่สุดในสังคมและเป็นการเปิดกว้างต่อบุคคลทุกคนไม่ว่าในตำแหน่งใด ซึ่งสองประการนี้ รอลส์ ให้ความสาคัญกับประการแรกมากกว่าหลักประการที่สอง ความยุติธรรมมีความสัมพันธ์กับกฎหมาย โดยปรากฏรูปแบบของความสัมพันธ์ 2 ทฤษฎี คือ 1. ทฤษฎีที่ถือความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกันกับกฎหมาย ทฤษฎีนี้มีปรากฏมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยถือว่ากฎหมายและความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน ล้วนมีที่มาจากพระเจ้า จึงให้ความสาคัญต่อกฎหมายและความยุติธรรมอย่างเสมอกัน จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน ทฤษฎีนี้ โดยมากจะเป็นการตีความจากนักคิดสำนักปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย รวมทั้งนักกฎหมายไทยที่ได้รับอิทธิพลของสานักนี้ด้วย 2. ทฤษฎีที่เชื่อว่าความยุติธรรมเป็นอุดมคติในกฎหมาย เป็นแนวคิดที่ความยุติธรรมได้รับการเชิดชูไว้สูงกว่ากฎหมาย ซึ่งเป็นเสมือนเป้าหมายสูงส่งของกฎหมาย กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องเดินตามหลังความยุติธรรม กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือที่นำไปสู่ความยุติธรรม ความยุติธรรมเป็นหลักอุดมคติเหนือกฎหมาย มีสถานภาพสูงกว่าหรือเป็นสิ่งที่เหนือกฎหมาย<br />๔.๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทในพิธีประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาเป็น เนติบัณฑิตของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ณ ศาลาดุสิตาลัย วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ มีความว่า<br />“ เมื่อกฎหมายของเราดีอยู่แล้ว จุดใหญ่ที่สำคัญที่สุดในการธำรงรักษาความยุติธรรมในบ้านเมือง จึงได้แก่การสร้างนักกฎหมายที่ดีที่จะสามารถวิเคราะห์และใช้กฎหมายได้ตรงจุดประสงค์ ข้าพเจ้าจึงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนสร้างตนให้เป็นนักกฎหมายที่ดีที่แท้ โดยฝึกตนให้มีความกล้าในอาชีพของนักกฎหมาย คือกล้าที่จะปฏิบัติการไปตามความถูกต้องเที่ยงตรงทั้งตามกฎหมายและศีลธรรม ไม่ปล่อยให้ภยาคติ คือ ความเอียงเอนไปด้วยความหวาดกลัวในอิทธิพลต่าง ๆ เข้าครอบงำสำหรับเป็นกำลังส่งให้ทำงานได้ด้วยความองอาจ มั่นใจ และมุมานะ อีกประการหนึ่งต้องฝึกให้มีความเคารพเชื่อมั่นในสัจธรรมคือความถูกต้องตามคลองธรรม ตามความเป็นจริงอย่าง มั่นคง ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม ไม่เห็นสิ่งอื่นใดว่ายิ่งไปกว่าความจริง สำหรับป้องกันมิให้ความ อยุติธรรม และความทุจริตเกิดขึ้น ” <br /> ในฐานะที่ท่านกำลังเรียนกฎหมายและจะเป็นนักกฎหมายในอนาตต ท่านจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรถึงจะเป็นนักกฎหมายที่ดีได้ตามแนวพระราชดำริที่ปรากฏในพระบรมราโชวาทดังกล่าว<br />แนวคำตอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมองกฏหมายเป็นเครื่องมือในการรักษาความยุติธรรม กฏหมายจึงไม่มีความสาคัญเหนือกว่า ความยุติธรรมย่อมมาก่อนกฏหมาย "กฏหมาย 1 คำ ความยุติธรรม 1 คำ หาใช่สิ่งเดียวกันไม่ หากยึดถือแต่กฏหมาย ไม่คำนึงถึงความยุติธรรม เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง" 1. กฏหมายกับความยุติธรรม 2. การไม่รู้กฏหมายของราษฎร 3. การใช้ความยุติธรรม แทนกฏหมายของบ้านเมือง และความยุติธรรมทางสังคม<br />ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นนักกฎหมาย จะปวารณาตัวเป็นนักกฎหมายที่ดีโดยยึดถือวัตถุประสงค์ของกฎหมายเป็นหลักคือมุ่งป้องปรามและลงโทษคนที่ทำชั่ว สร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองโดยจะยึดถือเอาความยุติธรรมมาก่อน ไม่ได้ยึดเอาบัญญัติของตัวบทกฎหมายเพียงอย่างเดียว ในการดำเนินการอรรถคดีความแก่ประชาชนโดยยึดหลักการจะเป็นตุลาการที่ดีจะต้องไม่มีอคติ 4 ประการ คือ ฉันทาคติ (รัก) โทสาคติ (โกรธ) ภยาคติ (กลัว) โมหาคติ (หลง) และต้องตัดสินความตามพระธรรมศาสตร์โดนคลองธรรมอันเป็นจัตุรัส ซึ่งหมายความว่า พลิกยากไม่ใช่เป็นไปตามอารมณ์ของตุลาการ การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติมีผลต่อตุลาการผู้นั้นคือ ถ้าตัดสินความโดยปราศจากอคติดังกล่าวแล้ว อิสริยยศ และบริวารยศแห่งบุคคลผู้นั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง เปรียบประดุจเดือนข้างขึ้น ถ้าผู้ใดตัดสินโดยมีอคติ 4 ประการดังกล่าว อิสริยยศ และบริวารยศ ก็จะเสื่อมสูญไปเปรียบประดุจเดือนข้างแรม<br />ที่ว่าให้ผู้พิพากษาปราศจากฉันทาคตินั้น หมายถึง ให้ทำจิตใจให้ปราศจากความโลภ อย่าเห็นแก่อามิสสินจ้าง อย่าเข้าข้างด้วยฝ่ายโจทย์หรือจำเลย เพราะเหตุจะได้ทรัพย์จากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แม้ว่าผู้ต้องคดีจะเป็นบิดามารดาก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง<br />การทำใจให้ปราศจากโทสาคติ หมายถึง อย่าตัดสินความโดยความโกรธ พยาบาท อาฆาต เพราะผู้นั้นเป็นปฏิปักษ์แก่ตน <br />การพิจารณาโดยปราศจากภยาคติ คือ ให้ผู้พิพากษาทำจิตใจให้มั่นคง ไม่หวั่นไหว กลัวฝ่ายโจทย์หรือจำเลย เพราะเป็นผู้มีอำนาจราชศักดิ์ หรือเป็นผู้มีกำลังพวกพ้องมาก<br />การตัดสินโดยปราศจากโมหาคติ หมายความว่า จะต้องตัดสินคดีด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ คดีใดควรแพ้ก็ต้องให้แพ้ คดีใดควรชนะก็ให้ชนะ จะต้องเป็นผู้รอบรู้ในธรรมศาสตร์ จะต้องไม่ตัดสินคดีโดยหลง<br />การตัดสินคดีโดยมีอคติ 4 ประการนี้ นับว่าเป็นบาปอย่างยิ่ง กล่าวว่า ถึงแม้จะฆ่าสิ่งมีชีวิตไปเป็นพันเป็นหมื่น บาปกรรมนั้นก็ไม่เท่ากับบุคคลที่บังคับคดีไม่เที่ยงตรง<br />ซึ่งตรงกับหลักอินทภาษในกฎหมายตราสามดวงนั้นเอง มิใช่มีความสำคัญต่อผู้ทำหน้าที่เป็นตุลาการเท่านั้น หากแต่ยังเป็นหลักที่ผู้มีหน้าที่ในการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมด้วย<br /><br />*******************************************************************************<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-73875992529560567442011-10-31T09:09:00.000-07:002011-11-01T08:56:46.398-07:00โรคเส้นดำ<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://3.bp.blogspot.com/-gbqaICqkcDQ/TrAWs0_djHI/AAAAAAAACRs/GeY17PKQMYw/s1600/DSC07510.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://3.bp.blogspot.com/-gbqaICqkcDQ/TrAWs0_djHI/AAAAAAAACRs/GeY17PKQMYw/s320/DSC07510.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5670056890254330994" /></a><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://3.bp.blogspot.com/-O60nXSIpOl8/TrAWXCi8WvI/AAAAAAAACRg/7fVkqqQRen0/s1600/DSC07528.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 299px;" src="http://3.bp.blogspot.com/-O60nXSIpOl8/TrAWXCi8WvI/AAAAAAAACRg/7fVkqqQRen0/s320/DSC07528.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5670056515935689458" /></a><br />เกิดจากเชื้อราไฟทอปทอร่า เป็นโรคที่ทำอันตรายต่อหน้ากรีดยางมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตที่มีความชื้นสูง ทำให้เปลือกงอกใหม่เสียหายรุนแรงจนกรีดซ้ำหน้าเดิมไม่ได้ ต้นยางจึงให้ผลผลิตสั้นลงโดยอาจกรีดได้เพียง 8-16 ปีเท่านั้น <br />ลักษณะอาการ <br />จะปรากฏอาการเหนือรอยกรีด โดยในระยะแรกเปลือกจะซ้ำมีสีผิดปกติ ต่อมารอยช้ำจะเปลี่ยนเป็นรอยบุ๋มสีดำ ขยายตัวในแนวตั้ง ถ้าเฉือนเปลือกออกดูจะพบลายเส้นดำบนเนื้อไม้ อาการในขั้นรุนแรงจะทำให้เปลือกบริเวณนั้นปริและมีน้ำยางไหลตลอดเวลา เปลือกจะเน่าหลุดไปในที่สุด เปลือกงอกใหม่จะมีลักษณะเป็นตะปุ่มตะป่า ทำให้กรีดยางต่อไปไม่ได้ <br />การป้องกัน <br />1. อย่าเปิดหน้ายางหรือขึ้นหน้ายางใหม่ในระหว่างฤดูฝน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีฝนตก และอย่ากรีดลึกจนถึงเนื้อไม้เพราะจะทำให้หน้ายางเสียหาย โอกาสที่เชื้อจะเข้าทำลายมีมากขึ้น <br />2. ตัดแต่งกิ่งยางและปราบวัชพืชให้สวนยางโปร่ง มีอากาศถ่ายเทสะดวก จะช่วยให้หน้ายางแห้งเร็วขึ้น และเป็นการลดความรุนแรงของโรคได้ <br />3. การกรีดยางในฤดูฝนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่มีโรคใบร่วงระบาด ควรทาหน้ายางด้วยสารเคมีชนิดเดียวกับที่ใช้รักษา <br />การรักษา <br />เมื่อพบหน้ากรีดยางเริ่มแสดงอาการให้ใช้สารเมตาแลคซิลอัตรา 7-14 กรัม (1/2 - 1ช้อนแกง) ต่อน้ำ 1 ลิตร ผสมสารแผ่กระจายและจับติด จำนวน 2 ซี.ซี. (1 ช้อนชา) ใช้สารอย่างใดอย่างหนึ่งทาหน้ากรีดยางทุก 7 วัน ประมาณ 3-4 ครั้ง จะสามารถป้องกันกำจัดโรคนี้ได้แต่ถ้าหากฝนตกชุกติดต่อกันควรทาสารเคมีต่อไปอีกจนกว่าโรคนี้จะหาย<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-67859230757979509112011-10-06T18:01:00.000-07:002011-10-06T18:07:04.341-07:00ทฤษฎีองค์การและการจัดการ<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://4.bp.blogspot.com/-hYfiE70gF08/To5Qaq41LsI/AAAAAAAACNk/fhe2jOUBwcI/s1600/Steve-Jobs.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 242px;" src="http://4.bp.blogspot.com/-hYfiE70gF08/To5Qaq41LsI/AAAAAAAACNk/fhe2jOUBwcI/s320/Steve-Jobs.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5660550200770768578" /></a><br /><br /> ทุกองค์การไม่ว่าจะมีขนาด ประเภท หรือสถานที่ตั้งอย่างไร จำเป็นต้องมีการจัดการที่ดี ซึ่งการจัดการที่ดีเป็นจุดเริ่มต้นของการดําเนินงานขององค์การ การเติบโตและการดํารงอยู่ต่อไปของ องค์การ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การในยุคศตวรรษที่21 ซึ่งต้องเผชิญกับ ปัจจัยแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ โลกาภิวัตน์ และเทคโนโลยี ทําให้องค์การต้องมีแนวทางในการจัดการที่ทันสมัยเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ เพื่อให้เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการสมัยใหม่ ในบทนี้จะได้นำเสนอหัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง องค์การสมัยใหม่ ความหมายของการจัดการ ขบวนการจัดการ บทบาทของการจัดการ คุณสมบัติของนักบริหารที่ประสบความสำเร็จ<br />องค์การสมัยใหม่ (Modern organization)<br /><br /> การจัดการเกิดขึ้นในองค์การ และในมุมมองด้านการจัดการ องค์การหมายถึง การที่มีคนมาทํางานร่วมกันอย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้บรรลุเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งองค์การมีลักษณะร่วมกันอยู่ 3 ประการ ได้แก่ <br />1) ทุกองค์การต้องมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของตนเอง <br />2) ทุกองค์การต้องมีคนร่วมกันทํางาน <br />3) องค์การต้องมีการจัดโครงสร้างงานแบ่งงานหน้าที่รับผิดชอบของคนในองค์การ <br /><br />ตามที่กล่าวข้างต้น จะเห็นว่าองค์การปัจจุบันต้องเผชิญกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นองค์การต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ แนวคิดเกี่ยวกับองค์การในแบบเดิมกับองค์การสมัยใหม่ก็มีความแตกต่างกัน เช่น การจัดการแบบคงเดิมกับแบบพลวัตร รูปแบบไม่ยืดหยุ่นกับแบบยืดหยุ่น การเน้นที่ตัวงานกับเน้นทักษะ การมีสถานที่ทำงานและเวลาทำงานที่เฉพาะคงที่กับการทํางานได้ทุกที่ทุกเวลา <br /><br />องค์การแบบเดิมจะมีลักษณะการจัดการที่คงเดิมไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ้างก็เป็นในช่วงสั้นๆ แต้องค์การปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จะมีความคงที่บ้างเป็นช่วงสั้นๆ จึงมีการจัดการแบบพลวัตรสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา องค์การแบบเดิมมักมีการจัดการแบบไม่ยืดหยุ่น ส่วนในองค์การสมัยใหม่จะมีการจัดการที่ยืดหยุ่น กล่าวคือในองค์การสมัยใหม่จะไม่ยึดติดกับแนวทางปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ต้องให้มีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติ สามารถปรับเปลี่ยนได้ถ้าสถานการณ์แตกต่างไป <br /><br /> องค์การแบบเดิมลักษณะของงานจะคงที่ พนักงานแต่ละคนจะได้รับมอบหมายงานเฉพาะ และทํางานในกลุ่มเดิมไม่ค่อยเปลี่ยน แต่ในองค์การสมัยใหม่พนักงานต้องเพิ่มศักยภาพของตนที่จะเรียนรุ้และสามารถทํางานที่เกี่ยวข้องได้รอบด้าน และมีการสับเปลี่ยนหน้าที่และกลุ่มงานอยู่เป็นประจํา ตัวอย่างเช่น ในบริษัทผลิตรถยนต์ พนักงานในแผนกผลิต ต้องสามารถใช้งานเครื่องจักรที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ได้ด้วย ซึ่งในคำบรรยายลักษณะงาน (job description) เดียวกันนี้เมื่อ 20 ปก่อนไม่มีการระบุไว้ดังนั้นในองค์การสมัยใหม่จะพัฒนาบุคลากรให้เพิ่มทักษะการทํางานได้หลากหลายมากขึ้น และในการพิจารณาค่าตอบแทนการทํางาน (compensation) ในองค์การสมัยใหม่มีแนวโน้มที่จะตอบแทนตามทักษะ (skill based) ยิ่งมีความสามารถในการทํางานหลายอย่าง มากขึ้นก็ได้ค่าตอบแทนมากขึ้น แทนการให้ค่าตอบแทนตามลักษณะงานและหน้าที่รับผิดชอบ (job based) <br /><br />องค์การแบบเดิม พนักงานจะทํางานในสถานที่ทํางานและเป็นเวลาที่แน่นอน แต่ในองค์สมัยใหม่มีแนวโน้มที่จะให้อิสระกับพนักงานในการทํางานที่ใดก็ได้เมื่อไรก็ได้ แต่ต้องได้ผลงานตามที่กําหนด เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีเอื้อให้สามารถสื่อสารถึงกันได้แม้ทํางานคนละแห่ง รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และโลกาภิวัตน์ทําให้คนต้องทํางานแข่งกับเวลามากขึ้นจนเบียดบังเวลาส่วนตัวและครอบครัว ดังนั้นองค์การสมัยใหม่จะให้เกิดความยืดหยุ่นในการทํางานทั้งเรื่องเวลาและสถานที่เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มวิถีการดําเนินชีวิตของพนักงานยุคใหม่ <br />ความหมายของการจัดการ (Defining management)<br /><br /> <span style="font-weight:bold;"> การจัดการ (Management) หมายถึง ขบวนการที่ทําให้งานกิจกรรมต่างๆสําเร็จลงได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลด้วยคนและทรัพยากรขององค์การ (Robbins and DeCenzo, 2004; Certo, 2003) ซึ่งตามความหมายนี้องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ ได้แก่ ขบวนการ (process) ประสิทธิภาพ (efficiency) และประสิทธิผล (effectiveness) ขบวนการ (process) ในความหมายของการจัดการนี้หมายถึงหน้าที่ต่างๆด้านการจัดการ ได้แก่ การวางแผน การจัดองค์การ การโน้มนําองค์การ และการควบคุม ซึ่งจะได้อธิบายละเอียดต่อไปในหัวข้อต่อไปเกี่ยวกับ หน้าที่และขบวนการจัดการ </span><br />ประสิทธิภาพ (efficiency) และประสิทธิผล (effectiveness)<br /><br />เป็นเรื่องเกี่ยวกับลักษณะของ การจัดการ โดยประสิทธิภาพ หมายถึง การทํางานอย่างถูกวิธี เป็นการเปรียบเทียบระหว่างปัจจัยนํา เข้า (inputs) กับผลผลิต (outputs) หากเราสามารถทํางานได้ผลผลิตมากกว่าในขณะที่ใช้ปัจจัยนําเข้าน้อยกว่า หรือ เท่ากัน ก็หมายความว่า เราทํางานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งปัจจัยนําเข้าในการจัดการก็คือทรัพยากรขององค์การ ได้แก่ คน เงิน วัตถุดิบ อุปกรณ์ เครื่องจักร และทุน ทรัพยากรเหล่านี้มีจํากัด และเป็นต้นทุนในการดําเนินงานขององค์การ ดังนั้นการจัดการที่ดีจึงต้องพยายามทําให้มีการใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดและให้เกิดผลผลิตมากที่สุด<br /><br /> <span style="font-weight:bold;"> ประสิทธิผล (effectiveness)</span> สําหรับประสิทธิผลในการจัดการหมายถึง การทําได้ตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงคที่กําหนดไว้ การจัดการที่มีเพียงประสิทธิภาพนั้นยังไม่เพียงพอต้องคำนึงว่า ผลผลิตนั้นเป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้หรือไม่ ตัวอย่างเช่น สถาบันศึกษาที่ผลิตผู้สําเร็จการศึกษาพร้อมกันที่ละมากๆ หากไม่คำนึงถึงคุณภาพการศึกษาก็อาจจะได้แต่ประสิทธิภาพ คือใช้ทรัพยากรในการผลิตหรือต้นทุนต่อผู้เรียนตํ่า แต่อาจจะไม่ได้ประสิทธิผลในการศึกษา เป็นต้น และ ในทางกลับกันหากทํางานที่ได้ประสิทธิผลอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องคำนึงถึงต้นทุนและความมีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น บริษัท Hewlett-Packard อาจจะทําตลับหมึกสีสําหรับเครื่อง Laser printer ที่มีสีเหมือนจริงและทนนานมากกว่าเดิมได้ แต่ต้องใช้เวลา แรงงาน และวัตถุดิบที่สูงขึ้นมาก ทางด้านประสิทธิผลออกมาดี แต่นับว่าไม่มีประสิทธิภาพ เพราะต้นทุนรวมสูงขึ้นมาก เป็นต้น <br /><br />ในการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลนั้น ต้องอาศัยความเข้าใจในสาขาวิชาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ด้านมนุษย์ศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ปรัชญา การเมือง จิตวิทยา และ สังคมศาสตร์ เพื่อให้เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ความได้เปรียบในการแข่งขัน การคาเสรี ความขัดแย้ง การใช้อํานาจ และความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคม <br />ขบวนการจัดการ (Management process)<br /><br />ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 Henri Fayol ได้เสนอไว้ว่า ผู้จัดการหรือผู้บริหารทุกคนต้อง ทํากิจกรรมเกี่ยวกับการจัดการ หรือที่เรียกว่า ขบวนการจัดการ 5 อย่าง ได้แก่ การวางแผน (planning) การจัดองค์การ (organizing) การสั่งการ (commanding) การประสานงาน (coordinating) และการควบคุม (controlling) (เขียนย่อว่า POCCC) และต่อมาในช่วงกลางปทศวรรษ 1950 นักวิชาการจาก UCLA ได้ปรับมาเป็น การวางแผน (planning) การจัดองค์การ(organizing) การจัดการพนักงาน (staffing) การสั่งการ (directing) และการควบคุม (controlling) (เขียนย่อว่า POSDC) ซึ่งขบวนการจัดการ 5 ประการ (POSDC) อันหลังนี้เป็นที่นิยมใช้เป็นกรอบในการเขียนตํารามากว่า 20 ป และต่อมาในช่วงหลังนี้ได้ย่อขบวนการจัดการ 5 ประการนี้ เป็นหน้าที่พื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่ การวางแผน (planning) การจัดองค์การ(organizing) การโน้มนํา (leading/influencing) และการควบคุม (controlling) อย่างไรก็ตามงานในแต่ละส่วนของขบวนการจัดการที่กล่าวข้างต้นนี้มีความสัมพันธ์และมีผลกระทบซึ่งกันและกัน ประกอบด้วย <br />การวางแผน (planning)<br /><br />เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกําหนดเป้าหมายขององค์การ สร้างกลยุทธ์ เพื่อแนวทางในการดําเนินไปสู่เป้าหมาย และกระจายจากกลยุทธ์ไปสู่แผนระดับปฏิบัติการ โดยกลยุทธ์และแผนในแต่ละระดับและแต่ละส่วนงานต้องสอดคล้องประสานกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในส่วนงานของตนและเป้าหมายรวมขององค์การด้วย <br />การจัดองค์การ(organizing) <br /><br />เป็นกิจกรรมที่ทําเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างขององค์การ โดย พิจารณาว่า การที่จะทําให้ได้บรรลุตามเป้าหมายที่กําหนดไว้นั้น ต้องมีงานอะไรบ้าง และงานแต่ละอย่างจะสามารถจัดแบ่งกลุ่มงานได้อย่างไร มีใครบ้างเป็นผู้รับผิดชอบในแต่ละส่วนงานนั้น และมีการรายงานบังคับบัญชาตามลําดับขั้นอย่างไร ใครเป็นผู้มีอํานาจในการตัดสินใจ <br />การโน้มนําพนักงาน (leading/influencing) <br /><br />เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดการให้พนักงานทํางาน อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งต้องใช้การประสานงาน การติดต่อสื่อสารที่ดี การจูงใจในการทํางาน ผู้บริหารต้องมีภาวะผู้นําที่เหมาะสม ลดความขัดแย้งและความตรึงเครียดในองค์การ <br />การควบคุม (controlling)<br /><br />เมื่อองค์การมีเป้าหมาย และได้มีการวางแผนแล้วก็ทําการจัดโครงสร้างองค์การ ว่าจางพนักงาน ฝึกอบรม และสร้างแรงจูงใจให้ทํางาน และเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งต่างๆจะดําเนินไปตามที่ควรจะเป็น ผู้บริหารก็ต้องมีการควบคุมติดตามผลการปฏิบัติการ และ เปรียบเทียบผลงานจริงกับเป้าหมายหรือมาตรฐานที่กําหนดไว้ หากผลงานจริงเบี่ยงเบนไปจากเป้า หมายก็ต้องทําการปรับให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งขบวนการติดตามประเมินผล เปรียบเทียบ และ แก้ไขนี้ก็คือขบวนการควบคุม<br /><br /><br /> <span style="font-weight:bold;"> บทบาทของการจัดการ (Managerial roles)<span style="font-weight:bold;"></span></span><br /><br /> เมื่อกล่าวถึ งหน้าที่ที่ เกี่ยวกับการจัดการในองค์การมักมุ่งไปที่หน้าที่ต่างๆในขบวนการจัดการ 4 ประการ (การวางแผน การจัดองค์การ การโน้มนํา และการควบคุม) ดังที่กล่าวข้างต้น ซึ่งผู้บริหารแต่ละคนให้ความสําคัญและเวลาในการทําหน้าที่การจัดการเหล่านี้แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังขึ้นกับลักษณะการดําเนินงานขององค์การที่แตกต่างกันด้วย (เช่น มีลักษณะการดําเนินงานเป็นองค์การที่แสวงหากําไรหรือองค์การที่ไม่แสวงหากําไร) ระดับของผู้บริหารที่ต่างกัน (ระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูง) และขนาดขององค์การที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น ผู้บริหารที่อยู่ในระดับบริหารที่แตกต่างกันจะให้เวลาในการทํากิจกรรมของแต่ละหน้าที่แตกต่างกัน และเมื่อพิจารณาถึงกิจกรรมของผู้บริหารในองค์การแล้ว Mintzberg เห็นว่าบทบาทของ การจัดการสามารถจัดแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม หรือที่เรียกว่า บทบาทด้านการจัดการของ Mintzberg (Mintzberg’s managerial roles) ได้แก่ บทบาทด้านระหว่างบุคคล (interpersonal roles) บทบาทด้านข้อมูล (informational roles) และบทบาทด้านการตัดสินใจ (decisional roles) โดยแต่ละกลุ่มของบทบาทมีบทบาทย่อยดังต่อไปนี้ <br /><br /> บทบาทระหว่างบุคคล (interpersonal roles) เป็นบทบาทด้านการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ประกอบด้วย บทบาทย่อย ได้แก่ <br /><br />1) บทบาทตามตําแหน่ง (figurehead): ทําหน้าที่ประจําวันต่างๆตามระเบียบที่เกี่ยวกับกฎหมาย หรือตามที่สังคมกําหนด เช่น การต้อนรับแขกขององค์กร ลงนามในเอกสารตามกฎหมาย เป็นต้น <br /><br />2) บทบาทผู้นํา (leader): ต้องรับผิดชอบสร้างแรงจูงใจและกระตุ้นการทํางานของพนักงาน รับผิดชอบในการจัดหาคน ฝึกอบรม และงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ <br /><br />3) บทบาทการสร้างสัมพันธภาพ (liaison): โดยสร้างเครือข่ายภายในและภายนอกเพื่อการ กระจายข้อมูลให้ทั่วถึง <br /><br />บทบาทด้านข้อมูล (informational roles) เป็นบทบาทด้านการกระจายและส่งผ่านข้อมูล ประกอบด้วย บทบาทย่อย ดังนี้ <br /><br />4) เป็นผู้ติดตามประเมินผล (monitor): เป็นการติดตามเลือกรับข้อมูล (ซึ่งมักจะเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน) เพื่อเข้าใจความเคลื่อนไหวขององค์การและสิ่งแวดล้อม เป็นเสมือนศูนย์กลางของ ระบบ<br /><br />5) เป็นผู้กระจายข้อมูล (disseminator): รับบทบาทส่งผ่านข้อมูลไปยังพนักงานในองค์การ บางข้อมูลก็เกี่ยวกับข้อเท็จจริง บางข้อมูลเกี่ยวกับการแปลผลและรวบรวมความแตกต่างกันที่เกิดขึ้นในองค์การ<br /><br />6) เป็นโฆษก (spokesperson): ทําหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานภายนอก เกี่ยวกับ แผนงาน นโยบาย กิจกรรม และผลงานขององค์การ เช่น เป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม <br /><br />บทบาทด้านการตัดสินใจ (decisional roles) ทําหน้าที่ตัดสินใจในการดําเนินงานขององค์การ ประกอบด้วยบทบาทย่อย ดังนี้ <br /><br />7) เป็นผู้ประกอบการ (entrepreneur): หาโอกาสและริเริ่มสิ่งใหม่ๆ เช่น การปรับปรุงโครงการ เพื่อนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ให้คำแนะนําเกี่ยวกับการออกแบบโครงการ โดยการจัดให้มีการทบทวนและกําหนดกลยุทธ์เพื่อพัฒนาโปรแกรมใหม่ๆ <br /><br />8) เป็นผู้จัดการความสงบเรียบร้อย (disturbance hander): รับผิดชอบแก้ไขการดําเนินงานเมื่อองค์การเผชิญกับความไม่สงบเรียบร้อย โดยการทบทวนและกําหนดกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับความไม่สงบและวิกฤติการณ์ในองค์การ <br /><br />9) เป็นผู้จัดสรรทรัพยากร (resource allocator): เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดสรรทรัพยากรต่างๆในองค์การ เช่น ทําการตัดสินใจและอนุมัติในประเด็นที่สําคัญต่างๆขององค์การ โดยจัดลําดับ และกระจายอํานาจ ดูแลกิจกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณ และจัดการเกี่ยวกับการทํางานของพนักงาน <br /><br />10) เป็นผู้ต่อรอง (negotiator): รับผิดชอบในการเป็นตัวแทนต่อรองในเรื่องสําคัญขององค์การ เช่น มีส่วนร่วมในการทําสัญญากับสหภาพแรงงานขององค์การ หรือการต่อรองกับผู้จัดหา (suppliers) <br />ทักษะของนักบริหาร (Management Skills)<br /><br />ผู้บริหารไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด หรืออยู่ในองค์การใดก็ทําหน้าที่ในการจัดการ 4 อย่าง ได้ แก่ การวางแผน (planning) การจัดองค์การ (organizing) การโน้มนํา (leading/influencing) และการควบคุม (controlling) และการที่ผู้บริหารจะสามารถทําหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการได้ประสบผลสําเร็จนั้น ต้องมีทักษะที่ดีด้านการจัดการ ซึ่งทักษะสําคัญในเบื้องต้นที่ผู้บริหารควรมีอย่างน้อย 3 อย่าง ได้แก่ ทักษะด้านเทคนิค (technical skills) ทักษะด้านคน (human skills) และทักษะด้านความคิด (conceptual skills) <br /><br />ทักษะด้านเทคนิค (technical skills) เป็นความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรุ้และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเกี่ยวกับงาน สําหรับผู้บริหารระดับสูงทักษะความสามารถนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรุ้ทั่วไปของอุตสาหกรรม ขบวนการและผลิตภัณฑขององค์การ และสําหรับผู้บริหารระดับกลางและระดับต้น จะเป็นทักษะความสามารถเฉพาะด้านในงานที่ทํา เช่น การเงิน ทรัพยากรบุคคล เทคโนโลยีสารสนเทศ การผลิต ระบบคอมพิวเตอร์ กฎหมาย การตลาด เป็นต้น ทักษะทางด้านเทคนิคมักเป็นความสามารถเกี่ยวกับตัวงาน เช่น ขบวนการหรือผลิตภัณฑ <br /><br />ทักษะด้านคน (human skills) เป็นทักษะในการทําให้เกิดความประสานงานกันของกลุ่มที่ผู้บริหารนั้นรับผิดชอบ เป็นการทํางานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทัศนคติ การสื่อสาร และผลประโยชน์ของบุคคลและกลุ่ม เป็นทักษะการทํางานกับคน <br /><br />ทักษะด้านความคิด (conceptual skills) เป็นความสามารถในการมององค์การในภาพรวม ผู้บริหารที่มีทักษะด้านความคิด จะสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆในองค์การว่ามีผลต่อกันอย่างไร และเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับปัจจัยแวดล้อมองค์การ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงในส่วนหนึ่งขององค์การมีผลกระทบกับส่วนอื่นๆอย่างไร <br /><br />ทักษะด้านความคิดนี้จะยิ่งมีความสําคัญมากขึ้นเมื่ออยู่ในระดับบริหารที่สูงขึ้น ขณะที่ทักษะด้านเทคนิคจะมีความสําคัญน้อยลงในระดับบริหารที่สูงขึ้น เนื่องจากผู้บริหารในระดับที่สูงจะเข้ามาดูแลในรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆในการผลิต และด้านเทคนิคน้อยลง แต่จะเน้นไปที่การมองภาพรวมขององค์การและทิศทางที่จะพัฒนาไปขององค์การมากกว่า ส่วนทักษะด้านคน ยังคงมีความสําคัญอย่างมากในทุกระดับของการบริหาร เพราะทุกระดับต้องเกี่ยวข้องกับคน <br />กิจกรรมของนักบริหาร (Managerial Activities)<br />มีการศึกษาเกี่ยวกับกิจกรรมที่ทําของนักบริหารในแต่ละวันว่า มีความแตกต่างกันหรือไม่ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่า นักบริหารที่ประสบความสําเร็จในหน้าที่การงานและได้รับการเลื่อนตําแหน่งอย่างรวดเร็ว จะให้ความสําคัญกับกิจกรรมที่ต่างไปจากนักบริหารที่มีประสิทธิผล ที่มีผลงานทั้งด้านปริมาณและคุณภาพเป็นไปตามเป้าหมาย และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใตบังคับบัญชา โดยการศึกษาของ Luthans และคณะ (Robbins, 2003) พบว่า กิจกรรมที่นักบริหารส่วนใหญทําสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ <br />1) การจัดการแบบเดิม (traditional management) เช่น การตัดสินใจ การวางแผน และ การควบคุม <br />2) การติดต่อสื่อสาร (communication) เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลประจําวัน และทํางานเอกสาร <br />3) การจัดการด้านทรัพยากรบุคคล (human resource management) เช่น การจูงใจ การสร้างวินัย จัดการความขัดแย้ง งานบุคคล และ การฝึกอบรม และ <br />4) การสร้างเครือข่าย (networking) เช่น การเข้าสังคม เล่นการเมืองในองค์การ และมีกิจกรรมร่วมกับหน่วยงานภายนอก<br /><br />ซึ่งจากการศึกษาในผู้บริหารจํานวน 450 คน เกี่ยวกับกิจกรรมทั้ง 4 ประเภทดังกล่าว พบว่าผู้บริหารทั่วๆไปโดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลาประมาณ 32 เปอร์เซ็นต์ของเวลาในการทํางานกับกิจกรรมประเภทการจัดการแบบเดิม ใช้เวลาประมาณ 29 เปอร์เซ็นต์กับกิจกรรมเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร 20 เปอร์เซ็นต์กับกิจกรรมด้านบริหารทรัพยากรบุคคล และ19 เปอร์เซ็นต์กับการสร้างเครือข่าย ซึ่งการใช้เวลาและการให้ความสําคัญกับกิจกรรมทั้ง 4 นั้นมีความแตกต่างกันไปในผู้บริหารแต่ละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริหารที่ประสบความสําเร็จจะใช้เวลาในกิจกรรมต่างๆไม่ เหมือนกับผู้บริหารที่มีประสิทธิผล กล่าวคือ ผู้บริหารที่ประสบความสําเร็จจะให้เวลาส่วนใหญกับการสร้างเครือข่ายและให้เวลากับการบริหารทรัพยากรบุคคลน้อยที่สุด ขณะที่ผู้บริหารที่มีประสิทธิผลจะให้เวลาส่วนใหญกับการติดต่อสื่อสารและให้เวลากับการสร้างเครือข่ายน้อยที่สุด <br /><br />ผลจากการศึกษาสะทอนให้เห็นว่า ในทางปฏิบัติจริง การให้รางวัลบางครั้งก็ไม่ได้เป็นไป ตามผลการปฏิบัติงานทั้งหมด ปัจจัยด้านสังคม และการเมืองในองค์การก็เข้ามามีอิทธิพลต่อการ ดําเนินงานในองค์การด้วย <br />จริยธรรมของนักบริหาร (Management Ethics) <br /><br />แนวทางการปฏิบัติตนด้านการเมืองในองค์การอย่างมีจริยธรรม ควรต้องคำนึงถึงใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) ประโยชน์ของส่วนรวม 2) สิทธิส่วนบุคคล 3) ความยุติธรรม กล่าวคือ ใน <br /><br />ประเด็นที่ 1 การกระทําที่เป็นการเล่นการเมืองในองค์การนั้น เพื่อประโยชน์ส่วนตน หรือประโยชน์ส่วนรวม หากเป็นไปเพื่อเป้าหมายขององค์การ ก็เป็นการกระทําที่ไม่ขัดกับจริยธรรม แต่ถ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน ก็ถือว่าเป็นการกระทําที่ไม่มีจริยธรรม ตัวอย่างเช่น สร้างข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงว่าการจัดซื้อแบบอิเลคโทรนิคขององค์การมีทุจริต เพื่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจในฝายจัดซื้อและระบบการจัดซื้อแบบอิเลคโทรนิค นับเป็นการกระทําที่ไม่มีจริยธรรม เนื่องจากไม่เป็นผลประโยชน์ต่อองค์การ แต่หากฝายซอมบํารุงทําดีเป็นพิเศษกับฝายจัดซื้อเพื่อให้ฝายจัดซื้อเร่งทํางานจัดซื้ออุปกรณ์อย่างถูกต้องโปรงใสมาให้ทันการใช้งานขององค์การ ก็ไม่ขัดกับจริยธรรม คือองค์การโดยรวมได้ประโยชน์ <br /><br />ในประเด็นที่สองเป็นเรื่อง สิทธิส่วนบุคคล หากการกระทําเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือสิทธิที่ควรมีของผู้อื่น ก็เป็นการขัดจริยธรรม ตัวอย่างเช่น หากผู้จัดการฝายซอมบํารุงเข้าไปกาวก่ายงานฝายจัดซื้อเพื่อให้เขาทําให้เร็วขึ้น ก็ไม่ใช่การกระทําที่มีจริยธรรม และในประเด็นสุดทายเป็นเรื่อง ความยุติธรรม กล่าวคือ การกระทํานั้นก่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน ความยุติธรรมหรือไม่ หากเป็นการกระทําที่ทําให้บางคนได้ผลประโยชน์มากกว่า หรือทําให้บางคนเสียผลประโยชน์ ก็เป็นการกระทําที่ไม่มีจริยธรรม ตัวอย่างเช่น หัวหน้าประเมินผลการ ปฏิบัติงานลูกน้องอย่างไม่ยุติธรรม โดยประเมินให้ลูกน้องที่ชอบได้มีผลประเมินที่ดีกว่า และใช้ผลการประเมินเป็นตัวกําหนดรางวัลตอบแทน เป็นต้น <br /><br />อย่างไรก็ตามการตัดสินว่าการกระทําใดมีจริยธรรมเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะกับผู้บริหาร ผู้ที่มีอํานาจในองค์การ เนื่องจากผู้มีอํานาจมักจะอ้างว่าการกระทําของตนนั้น เพื่อประโยชน์ส่วนรวม และเป็นไปตามเป้าหมายขององค์การ ไม่ได้ก้าวก่ายสิทธิของใคร และทําไปอย่างยุติธรรมมีความเท่าเทียมกัน ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว ผู้ที่มีอํานาจมักเป็นผู้ที่จะกระทําขัดกับจริยธรรมมากกว่า <br /><br />พนักงานทั่วไปที่ไม่มีอํานาจ ดังนั้นผู้บริหารที่มีอํานาจควรพิจารณาการกระทําของตนเองตามความเป็นจริงให้ดีเกี่ยวกับ 3 ประเด็นข้างต้นว่า เป็นการกระทําอย่างมีจริยธรรมหรือไม่ <br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />สรุป <br />1. การจัดการ (Management) หมายถึง ขบวนการที่ทําให้งานกิจกรรมต่างๆสําเร็จลงได้อย่าง มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลด้วยคนและทรัพยากรขององค์การ <br /><br />2. ผู้จัดการ (Manager) หมายถึง ผู้ที่ทํางานร่วมกับหรือทําโดยผ่านพนักงานอื่นๆ ให้เกิดการประสานงาน เพื่อให้กิจกรรมต่างๆขององค์การสําเร็จตามเป้าหมายที่กําหนด การเปลี่ยนแปลงขององค์การในปัจจุบัน ทําให้บทบาทของผู้จัดการต้องปรับเปลี่ยนไป ไม่มีเส้นแบ่ง ระหว่างผู้จัดการ กับ พนักงาน อย่างชัดเจน <br /><br />3. ประสิทธิภาพ หมายถึง การทํางานอย่างถูกวิธี เป็นการเปรียบเทียบระหว่างปัจจัยนําเข้า (inputs) กับผลผลิต (outputs) หากเราสามารถทํางานได้ผลผลิตมากกว่าในขณะที่ใช้ปัจจัยนําเข้าน้อยกว่า หรือ เท่ากัน ก็หมายความว่า เราทํางานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า ส่วนประสิทธิผลในการจัดการหมายถึง การทําได้ตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงคที่กําหนดไว้ นั่นคือ ประสิทธิภาพจะเน้นที่วิธีการในการปฏิบัติงาน ส่วนประสิทธิผลจะเน้นที่ผลลัพธ์ที่เกิดจากการปฏิบัติงาน <br /><br /> 4. ขบวนการจัดการ (management process) ประกอบด้วย กิจกรรมที่สําคัญ 4 ประการ ได้แก่ <br />1) การวางแผน (planning) เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกําหนดเป้าหมาย และวางกลยุทธ์ รวมทั้งแผนปฏิบัติการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ <br />2) การจัดองค์การ (organizing) เป็นการจัดวางโครงสร้างองค์การเพื่อรองรับการดําเนินงานตามแผนที่วางไว้ <br />3) การโน้มนํา (leading/influencing) เป็นการจูงใจ โน้มนําพนักงานรายบุคคลและกลุ่ม ให้ปฏิบัติงาน มีการติดต่อสื่อสาร รวมถึงการรับมือกับประเด็นต่างๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของพนักงานในองค์การ และ <br />4) การควบคุม (controlling) เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับการติดตามประเมินผลงาน เปรียบเทียบกับเป้าหมาย หรือมาตรฐานที่กําหนดไว้ และทําการแก้ไข เพื่อให้ผลการดําเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย หรือมาตรฐานที่กําหนดไว้ <br /><br /> <br /> 5. ทักษะที่จําเป็นของผู้บริหาร ได้แก่ ทักษะด้านเทคนิค (technical skills) ทักษะด้านคน (human skills) และทักษะด้านความคิด (conceptual skills) ผู้บริหารในระดับต่างๆ ต้องการทักษะในแต่ละด้านแตกต่างกัน ผู้บริหารระดับสูงจะต้องการทักษะด้านความคิดสูงกว่าผู้บริหารระดับต้น และผู้บริหารระดับต้นจําเป็นต้องมีทักษะด้านเทคนิคมากกว่าผู้บริหารระดับสูง ส่วนด้านทักษะเกี่ยวกับคนนั้นจําเป็นสําหรับทุกระดับ <br /><br />6. ผู้บริหารมักเป็นผู้ที่มีอํานาจในองค์การ และอาจใช้อํานาจในทางที่ขัดกับหลักจริยธรรม คือ ไม่ได้ใช้อํานาจเพื่อประโยชน์ส่วนรวม หรือเป็นไปตามเป้าหมายขององค์การ หรือใช้อํานาจซึ่งก้าวก่ายสิทธิอันชอบธรรมของผู้อื่น <br />กลยุทธ์สนับสนุนการเพิ่มผลิตภาพงานอุตสาหกรรม <br />โดย โกศล ดีศีลธรรม<br />ด้วยสภาวะการเปิดเสรีทางการค้า (Liberalization) ที่ส่งผลต่อสภาวะการแข่งขันทางธุรกิจ ซึ่งรวมถึงธุรกิจอุตสาหกรรมที่ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงต่อกระแสแห่งโลกาภิวัฒน์ ดังนั้นในช่วงปลายศตวรรษที่แล้วจึงได้นำเทคนิคเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการปรับปรุงผลิตภาพปัจจุบันโรงงานต่าง ๆ ได้มุ่งปรับปรุงสมรรถนะทางธุรกิจเพื่อสร้างความได้เปรียบทางกลยุทธ์ให้เหนือคู่แข่งขันอย่างยั่งยืนด้วยการบูรณาการแนวทางและเทคนิคต่าง ๆ ที่สนับสนุนการดำเนินงานโดยมุ่งการเพิ่มผลิตภาพกระบวนการในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การตั้งเครื่องได้เร็วขึ้น รอบเวลาการผลิตที่สั้นลง เป็นต้น ดังนั้นเป้าหมายองค์กรที่มุ่งความเป็นเลิศจะต้องขจัดความสูญเปล่าและสร้างความยืดหยุ่นต่อการตอบสนองความเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อศักยภาพการแข่งขัน ซึ่งในระดับปฏิบัติการจะมีการนำกลยุทธ์และเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนต่อการปรับเปลี่ยนแนวทางดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาวะการแข่งขันในปัจจุบัน โดยมุ่งแนวคิดการลดความสูญเปล่าด้วยการขจัดกิจกรรมที่ไม่สร้างคุณค่าเพิ่มให้กับองค์กร ซึ่งการดำเนินการจะประกอบด้วยเสาหลักสำคัญ ดังนี้ <br />.<br /><br />• การผลิตแบบทันเวลาพอดี (Just in time) <br />• การผลิตแบบทันเวลาพอดี (Just in Time) <br />• การบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain integration) <br />• ระบบการผลิตแบบเซลล์ (Cellular manufacturing system) <br />• การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องหรือไคเซ็น (Kaizen)<br />.<br />สำหรับในแต่ละเสาหลักจะประกอบด้วยรายละเอียดดังนี้<br />.<br />การผลิตแบบทันเวลาพอดี<br />แนวคิดการผลิตแบบทันเวลาพอดี (Just in Time) หรืออาจเรียกว่า การผลิตแบบลีน (Lean Manufacturing) เป็นแนวทางที่มุ่งการผลิตเฉพาะสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เพื่อดำเนินการผลิตในปริมาณที่ถูกต้อง และเวลาที่ต้องการใช้งานจริง นั่นหมายถึง การบริหารการผลิตที่มีความหลากหลายประเภทด้วยปริมาณการผลิตที่ไม่มาก โดยมุ่งลดช่วงเวลานำการผลิตและสามารถส่งมอบให้กับลูกค้าอย่างทันเวลาพอดีเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าสูงสุด ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะมุ่งการผลิตตามปริมาณความต้องการของลูกค้าหรือ เรียกว่าระบบการผลิตแบบดึง (Pull Manufacturing System) <br />.<br />สำหรับกระบวนการผลิตจะเริ่มดำเนินการเมื่อเกิดความต้องการ หรือเป็นการผลิตตามสั่ง ที่มุ่งการไหลของงานทีละชิ้น โดยมีระดับสินค้าคงคลังน้อยที่สุด จึงทำให้ลดปริมาณสต็อกของงานระหว่างผลิตลง โดยมีกลไกการควบคุม เรียกว่า Kanban ซึ่งเป็นสารสนเทศการผลิต สำหรับการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยการผลิต <br />.<br /><br />.<br />โดยการ์ด Kanban จะถูกส่งกลับไปยังหน่วยการผลิตก่อนหน้า (Upstream) หรือต้นน้ำ จึงทำให้แต่ละหน่วยการผลิตทราบถึงสถานะความต้องการของชิ้นงานซึ่งสามารถลดความสูญเปล่าในรูปของช่วงเวลานำที่สั้นลงและต้นทุนการผลิตที่ลดลง ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดการผลิตแบบเดิม ที่มุ่งการผลิตตามการพยากรณ์ความต้องการของตลาดและกำหนดการผลิต (Production schedule) เรียกว่า การผลิตแบบผลัก (Push manufacturing) หรือการผลิตเพื่อสต็อกจึงส่งผลให้เกิดสต็อกค้างของงานรอระหว่างผลิต (WIP) ปริมาณมาก <br />.<br /><br /><br />สำหรับปัจจัยและเทคนิคที่สนับสนุน JIT จะประกอบด้วย <br />- การจัดวางผังเครื่องจักรรูปตัวยู (U-Shape) เป็นองค์ประกอบของการผลิตแบบเซลล์ (Cell Manufacturing) ที่จะกล่าวในส่วนถัดไป ซึ่งการจัดวางผังรูปแบบดังกล่าวจะทำให้พนักงานมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการตัดสินใจ และก่อให้เกิดการทำงานเป็นทีมในรูปแบบของ เซลล์ผลิตภัณฑ์ (Product Cell) โดยมีการรวมกลุ่มของเครื่องจักรที่หลากชนิดเข้าเป็นกลุ่มเซลล์ ซึ่งชิ้นงานจะเริ่มเคลื่อนจากกระบวนการหนึ่งไปยังกระบวนการถัดไปอย่างต่อเนื่อง โดยเครื่องจักรจะถูกจัดวางอย่างใกล้ชิดภายในเซลล์จึงส่งผลให้ต้นทุนการขนถ่ายชิ้นงานลดลงและก่อให้เกิดการพัฒนาทักษะความชำนาญที่หลากหลาย <br />.<br /><br />.<br />- มาตรฐานการปฏิบัติงาน เพื่อใช้เป็นแนวทางการทำงานซึ่งครอบคลุมถึงรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ลำดับขั้นตอนการแปรรูปชิ้นงาน วิธีทำงานอย่างปลอดภัย และการบริหารปัจจัยการผลิตให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด นั่นคือ แรงงาน วัสดุ วิธีการ เครื่องจักร โดยมีการจัดทำเป็นเอกสารอธิบายรายละเอียดในแต่ละลำดับขั้นตอนปฏิบัติงานซึ่งมีรูปภาพประกอบคำบรรยายหรืออาจใช้วีดีโอสาธิตวิธีการทำงาน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานได้ใช้ศึกษาทำความเข้าใจในระยะเวลาอันสั้นและเป็นแนวทางสำหรับการทำงานอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดการทำงานและลดความสูญเปล่าทางเวลา นอกจากนี้การจัดทำมาตรฐานการทำงานยังส่งผลต่อการปรับปรุงผลิตภาพองค์กรในด้านต่าง ๆ เช่น พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ สร้างความพึงพอใจต่อลูกค้า เกิดมาตรฐานการทำงานดีขึ้น ความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน และต้นทุนการดำเนินงานลดลง <br />.<br /><br />- แผนการผลิตหลัก (Master Production Schedule) ที่ชัดเจน เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมการผลิตเกิดความต่อเนื่อง <br />.<br /><br />.<br />- ความมีส่วนร่วมของพนักงาน โดยมุ่งเน้นให้พนักงานทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วมต่อการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดคุณภาพ อย่าง TQM จึงทำให้ลดลำดับชั้นของการตัดสินใจลงและเกิดความคล่องตัวต่อสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนด้วยการฝึกอบรมให้กับพนักงานเพื่อพัฒนาทักษะและสร้างวัฒนธรรมการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง <br /><br />.<br />สำหรับองค์กรทั่วไปจะดำเนินงานตามหน้าที่ฝ่ายงาน จึงทำให้แต่ละฝ่ายงานดำเนินกิจกรรมที่มีลักษณะเดียวกันซึ่งเปรียบเสมือนการผลิตตามรุ่น ซึ่งทำให้เกิดการรอคอยของงานในกระบวนการถัดไป หากเกิดการติดขัดในกระบวนการก่อนหน้าและอาจเกิดงานค้างรอเมื่อปริมาณงานเกินกว่าภาระงานเช่นเดียวกับกิจกรรมการผลิตหากแต่ละหน่วยผลิตหรือสถานีงานมุ่งผลิตชิ้นงานก็จะส่งผลให้เกิดการสต็อกและปัญหาคอขวดในกระบวนการถัดไป ซึ่งส่งผลให้เกิดการไหลของงานติดขัด และเกิดความสูญเปล่าต่าง ๆ เช่น เวลารอคอย พื้นที่จัดเก็บ เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องมุ่งให้เกิดความสอดคล้องตลอดทั้งกระบวนการเพื่อให้งานเกิดการไหลอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งผลิตเฉพาะสิ่งที่ลูกค้าต้องการในรูปแบบการผลิตรุ่นขนาดเล็กที่สามารถตอบสนองความต้องการได้หลากหลายรูปแบบ รวมทั้งปรับปรุงเพื่อลดเวลาการรอคอย เช่น ลดเวลาการตั้งเครื่อง การบำรุงรักษา เป็นต้น ดังนั้นเพื่อมั่นใจว่าวัสดุ/ชิ้นส่วนทั้งหมดจะมีการไหลอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งกระบวนการที่สอดคล้องตามหลักการของ JIT จะต้องพยายามควบคุมระดับสินค้าคงคลังหรืองานระหว่างผลิต (WIP) ด้วยรุ่นการผลิตขนาดเล็ก ดังที่กล่าวข้างต้น ซึ่งการลดระดับสต็อกจะนำมาสู่การค้นพบปัญหาต่าง ๆ ที่ซ่อนเร้นในสายการผลิต เมื่อเครื่องจักรเกิดความขัดข้องบ่อยหรือใช้เวลาในการแก้ปัญหานาน งานระหว่างผลิตในรูปของสต็อกจะค้างอยู่ในแต่ละกระบวนการ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยต่อสายการผลิต ดังนั้นงานบำรุงรักษาจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อสายการไหลในสายการผลิตโดยเฉพาะเมื่อเวลาเครื่องจักรเกิดขัดข้องขึ้น งานทั้งหลายที่อยู่ในกระบวนการย่อมได้รับผลกระทบซึ่งก่อให้เกิดความบกพร่องทางคุณภาพและส่งผลต่อปริมาณงานทำซ้ำที่เกิดขึ้น รวมถึงเวลาการส่งมอบงานที่ล่าช้าและการลดปริมาณของเสีย โดยมีกิจกรรมบำรุงรักษาทวีผลแบบทุกคนมีส่วนร่วม (TPM) เป็นรากฐานสำคัญในการสนับสนุน JIT ซึ่งจะต้องมีการสร้างแนวความคิดใหม่ นั่นหมายถึง หากปัญหาต่าง ๆ ได้ถูกแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ระดับสินค้าคงคลังหรือความสูญเสียต่าง ๆ ก็จะลดลง <br />.<br />การบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน <br />ในช่วงทศวรรษ 1990 ได้มีแนวคิดเรื่องการยกเครื่องกระบวนการธุรกิจ ที่มุ่งปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการทั่วทั้งองค์กรเพื่อตัดลดขั้นตอนกระบวนการที่ไม่มีความสำคัญ ดังนั้นหลายองค์กรจึงได้มุ่งแนวทางกระบวนการเพิ่มคุณค่า ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดหา/จัดซื้อ การกระจายสินค้า และเชื่อมโยงกิจกรรมระหว่างองค์กรกับผู้ส่งมอบ ตลอดจนการส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า ซึ่งการเชื่อมโยงดังกล่าวจะแสดงในรูปของห่วงโซ่คุณค่า ดังนั้นการเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์ภายในห่วงโซ่จากจุดเริ่มต้นไปยังส่วนต่าง ๆ จะเกิดการเพิ่มคุณค่าในแต่ละกระบวนการ และเกิดต้นทุนหลักที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ <br />.<br /><br />.<br />- ต้นทุนการเพิ่มคุณค่ากิจกรรม จะเกิดขึ้นในกิจกรรมทางต้นน้ำ เนื่องจากการลงทุนในสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจกรรม <br /><br />.<br />ต้นทุนคลังสินค้าและการขนถ่ายภายใน เป็นต้นทุนหลักที่เกิดขึ้นในกิจกรรมปลายน้ำ ซึ่งต้นทุนที่เกิดขึ้นสามารถตัดลดได้หากสามารถดำเนินกิจกรรมให้เสร็จสิ้นภายในพื้นที่ปฏิบัติงานและถูกจัดส่งเข้าสโตร์โดยตรงเพื่อจัดเก็บ <br />.<br />เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันจะต้องมุ่งขจัดความไร้ประสิทธิภาพที่แฝงในรูปของความสูญเปล่าภายในห่วงโซ่อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งกระบวนการเพิ่มคุณค่าในทุกส่วนของกิจกรรมซึ่งเป็นปัจจัยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า สำหรับอุตสาหกรรมที่มีจำนวนคู่ค้าจำนวนมาก ดังเช่น อิเล็กทรอนิกส์ การบิน ยานยนต์ เป็นต้น ได้มีความพยายามที่จะเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานด้วยการเชื่อมโยงกระบวนการเพื่อมุ่งส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า โดยในแต่ละกระบวนการจะมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและเกิดการสื่อสารกันแบบเปิด เพื่อแลกเปลี่ยนสารสนเทศซึ่งส่งผลต่อการลดความผันผวน หรือ Bullwhip Effect <br />.<br /><br />.<br />ดังนั้นปัจจัยหลักของการสร้างประสิทธิผลของห่วงโซ่อุปทานจึงขึ้นกับความสอดคล้องทั้งในมิติของช่วงเวลา และปริมาณอุปสงค์ เพื่อควบคุมความผันผวนจะต้องมีการแลกเปลี่ยนสารสนเทศที่มีความแม่นยำและเกิดการทำงานที่ประสานความร่วมมือตลอดทั้งห่วงโซ่ โดยจะส่งผลให้เกิดการลดต้นทุนจัดเก็บสต็อก <br />.<br /><br />ระบบการผลิตแบบเซลล์<br />ระบบการผลิตแบบเซลล์จะมีการจัดวางผังด้วยรูปแบบเซลล์การผลิต โดยจัดวางเครื่องจักรตามลำดับกระบวนการและจัดวางชิ้นงาน/เครื่องมืออุปกรณ์การทำงานในบริเวณที่สามารถหยิบใช้ได้อย่างสะดวกเมื่อต้องการใช้งาน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการไหลของงานอย่างต่อเนื่องและสร้างความยืดหยุ่นต่อการผลิตสินค้าที่มุ่งตอบสนองความเปลี่ยนแปลงของลูกค้า นอกจากนี้ยังลดความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นในสายการผลิต เช่น การใช้พื้นที่อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด และลดระยะทางการขนถ่ายที่ส่งผลต่อการลดรอบเวลาการผลิต เป็นต้น โดยมุ่งให้เกิดการผลิตแบบไหลทีละชิ้น หรือ เรียกว่า การผลิตแบบไหลอย่างต่อเนื่อง ที่สามารถลดเวลาในแถวคอย นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการเพิ่มผลิตภาพ เช่น การลดช่วงเวลานำการผลิตให้สั้นลง การลดระดับปริมาณงานระหว่างผลิต และการใช้พื้นที่อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ดังรูปที่ 12 <br />.<br /><br /><br /><br />การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง<br />การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องหรือไคเซ็น (Kaizen) เป็นปรัชญาการพัฒนาตามแนวทางของญี่ปุ่นที่มุ่งปรับการปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างต่อเนื่องเพื่อขจัดความสูญเปล่าในกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่าเพิ่ม ซึ่งแตกต่างจากแนวทางแบบตะวันตกที่มุ่งนวัตกรรม มากกว่าการปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นการดำเนินกิจกรรมไคเซ็นจะต้องดำเนินการในทุกระดับขององค์กรตั้งแต่ระดับผู้บริหารระดับสูงจนถึงระดับปฏิบัติการ โดยมุ่งเน้นที่กระบวนการเป็นหลักเพื่อให้ทุกคนเกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการบริหารคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management) หรือ TQM ที่ต้องใช้ความร่วมมือจากทุกฝ่ายในองค์กรเพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยแห่งความสำเร็จ ดังนี้<br />- ความเป็นผู้นำทางคุณภาพ (Quality Leadership) <br />- พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Employees Involvement in Decision-making) <br />- ความสัมพันธ์ระหว่างคู่ค้าที่รวมถึง ลูกค้าและผู้ส่งมอบ (Partnership with customers and suppliers) <br />.<br /><br />- การทำงานเป็นทีม (Team Work) <br /><br />.<br />สำหรับการดำเนินกิจกรรมจะเริ่มด้วยการจำแนกกิจกรรมที่เกิดความสูญเปล่าและวิเคราะห์สาเหตุหลัก เมื่อได้ดำเนินการจำแนกความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นแล้วก็จะดำเนินการจัดตั้งทีมงาน ประกอบด้วยสมาชิกจากฝ่ายงานต่าง ๆ หรือเรียกว่าทีมงานข้ามสายงาน เพื่อระบุแนวทางปรับปรุงในทุกพื้นที่การทำงานและขจัดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสูญเปล่าขึ้น ซึ่งทีมงานประกอบด้วยสมาชิกจากฝ่ายงานต่าง ๆ หรือเรียกว่าทีมงานข้ามสายงาน ประมาณ 4-8 คน เพื่อลำดับความสำคัญตามสาเหตุของปัญหา ซึ่งส่งผลต่อการเพิ่มผลิตภาพในรูปของการลดต้นทุนและรอบเวลาทำงานที่สั้นลง รวมทั้งการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า <br /><br /><br />เอกสารอ้างอิง <br /> 1. โกศล ดีศีลธรรม, การเพิ่มผลิตภาพในงานอุตสาหกรรม, สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, 2546. <br />2. โกศล ดีศีลธรรม, Industrial Management Techniques for Executive, บ. ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด(มหาชน), 2546. <br />3. โกศล ดีศีลธรรม, เพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้วยแนวคิดลีน (How To Go Beyond Lean Enterprise), บ. ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน), 2547. <br />4. โกศล ดีศีลธรรม, Logistics & Supply Chain Management in the New Economy,บ.อินโฟมีเดียอินเตอร์เนชันแนล จำกัด, 2547. <br />ที่มา : www.thailandindustry.com<br />วันที่ : 31/10/07<br /><br />http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=wbj&month=07-12-2007&group=29&gblog=8<br />วันที่ : 26/12/07<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-36033028707976392942011-10-02T05:54:00.000-07:002011-10-02T07:05:34.845-07:00การวิเคราะห์งบการเงิน<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://1.bp.blogspot.com/-go1T9vbQIro/Tohg6-fbQCI/AAAAAAAACNY/eyCfOEzp8FU/s1600/DSC07262%2B%255B640x480%255D.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://1.bp.blogspot.com/-go1T9vbQIro/Tohg6-fbQCI/AAAAAAAACNY/eyCfOEzp8FU/s320/DSC07262%2B%255B640x480%255D.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5658879498114514978" /></a><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://3.bp.blogspot.com/-1X3MbcWdTnc/Tohgsj9iY7I/AAAAAAAACNQ/bSIdo8I_VcI/s1600/DSC07260%2B%255B640x480%255D.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://3.bp.blogspot.com/-1X3MbcWdTnc/Tohgsj9iY7I/AAAAAAAACNQ/bSIdo8I_VcI/s320/DSC07260%2B%255B640x480%255D.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5658879250474886066" /></a><br /><span style="font-weight:bold;"></span><br /> ความหมายของการวิเคราะห์งบการเงินการวิเคราะห์งบการเงิน คือ กระบวนการค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของกิจการใดกิจการหนึ่งจากงบการเงินของกิจการนั้น พร้อมทั้งนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาประกอบการตัดสินใจ<br />การวิเคราะห์งบการเงินมีจุดประสงค์ 2 ประการดังนี้<br /><br />1. การหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของกิจการ<br />2. การนำข้อเท็จจริงที่ได้มาใช้ประกอบการตัดสินใจหรือเสนอแนะแนวทางการตัดสินใจ <br /><br /><br />กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์งบการเงิน<br /><br />1. เจ้าหนี้ หมายถึง บุคคลภายนอกที่ให้กิจการกู้เงินมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ เจ้าหนี้จะวิเคราะห์งบการเงินของลูกหนี้เพื่อพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ ความสามารถในการหากำไรและลักษณะการได้มาและการใช้ไปของเงินทุน <br />2. ผู้ลงทุนทั่วไป หมายถึง ผู้ที่มีเงินออมและพร้อมที่จะลงทุนในธุรกิจ จะวิเคราะห์ความสามารถในการหากำไรทั้งปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต อัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการลงทุน <br />3. ผู้บริหาร มีหน้าที่และต้องรับผิดชอบต่อผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของกิจการจึงต้องการการวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อพิจารณาถึงปัญหาและโอกาสของกิจการสำหรับการกำหนดแผนดำเนินการต่อไป <br />4. หน่วยงานรัฐบาล วิเคราะห์งบการเงินเพื่อได้ข้อมูลที่จะนำมาประกอบการพิจารณานโยบายต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบธุรกิจ ผู้บริโภคและประเทศโดยส่วนรวม <br />5. นักวิชาการ วิเคราะห์งบการเงินของกิจการ เพื่อนำมาศึกษาและให้ข้อเสนอแนะ ตลอดจนจัดทำข้อมูลที่สำคัญ ๆ เพื่อการศึกษาและงานวิจัยซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่วงการศึกษา และวงการธุรกิจ <br /><br />การวิเคราะห์งบการเงินมีจุดมุ่งหมายพอสรุปดังนี้<br /><br />1. เพื่อเป็นเครื่องมือกลั่นกรองเบื้องต้นสำหรับการตัดสินใจ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน<br />2. เป็นเครื่องมือช่วยพยากรณ์ฐานะการเงิน และผลการดำเนินงานในอนาคตและการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบต่าง ๆ 3. เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวินิจฉัยปัญหาในการบริหารงาน ฐานะการเงินและปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น<br />4. เป็นข้อมูลประกอบการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานแต่ละฝ่าย <br />เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์งบการเงิน เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์งบการเงินมี 5 ประเภท ดังนี้<br /> 1. การวิเคราะห์งบการเงินโดยใช้อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio Analysis)<br /> 2. การวิเคราะห์งบการเงินโดยวิธีแนวนอน (Horizontal Analysis) <br /> 3. การวิเคราะห์งบการเงินโดยวิธีแนวตั้ง (Vertical Analysis) <br /> 4. การวิเคราะห์งบการเงินโดยวิธีแนวโน้ม (Trend Analysis)<br /> 5. การวิเคราะห์โดยจัดทำงบกระแสเงินสด (Cash Flow Analysis)<br /><br /> 1. การวิเคราะห์งบการเงินโดยใช้อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio Analysis) อัตราส่วนทางการเงินเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งเกิดจากการเปรียบเทียบโดยการนำรายการที่ปรากฏในงบการเงินสำหรับระยะเวลาหนึ่งมาสัมพันธ์กันในรูปสัดส่วนหรืออัตราร้อยละ การนำอัตราส่วนมาแปลความและใช้ประโยชน์โดยการเปรียบเทียบมี 3 วิธี คือ<br /> 1. เปรียบเทียบกับอัตราส่วนมาตรฐานหรืออัตราส่วนเฉลี่ยของอุตสาหกรรม เป็นอัตราส่วนที่จัดทำขึ้นจากข้อมูลของอุตสาหกรรมประเภทนั้นเป็นส่วนรวม เมื่อเปรียบเทียบกับกิจการภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน การเปรียบเทียบเช่นนี้เราถือตัวเลขที่ปรากฏในอัตราส่วนมาตรฐานเป็นจุดตัดสิน (Cut off Point)<br /> 2. เปรียบเทียบกับอัตราส่วนของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน การเปรียบเทียบกับบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน บริษัทที่จะนำมาเปรียบเทียบกันนั้นจะต้องเป็นบริษัทที่มีขนาดใกล้เคียงกันและต้องเป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน<br /> 3. เปรียบเทียบอัตราส่วนของบริษัทเดียวกันในช่วงเวลาที่ต่างกัน เช่น ข้อมูลปีปัจจุบันกับอดีตจะทำให้ทราบถึงแนวโน้มในปัจจุบันว่ามีการบริหารงานดีขึ้นหรือแย่ลงจากปีที่แล้วอย่างไร และทำให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคตได้ <br />อัตราส่วนทางการเงินแบ่งออกได้ 5 ประเภท คือ<br /><br />1. อัตราส่วนวัดสภาพคล่อง (Liquidity Ratio) เป็นอัตราส่วนใช้วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น หรือวัดสภาพคล่องของกิจการ<br /> 1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) เป็นอัตราส่วนใช้วัดสภาพคล่องของกิจการแสดงความสามารถที่กิจการนำสินทรัพย์หมุนเวียนไปชำระหนี้สินหมุนเวียนได้กี่เท่า และสามารถชำระได้ทันเวลาหรือไม่<br /> <span style="font-style:italic;">Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน = .......... เท่า </span><br /> ผลลัพธ์บอกให้ทราบว่า ณ วันที่วิเคราะห์งบการเงิน กิจการมีสินทรัพย์หมุนเวียนเป็นกี่เท่าของหนี้สินหมุนเวียน นั่นคือ เมื่อกิจการจ่ายชำระหนี้สินระยะสั้นแล้ว ยังมีสินทรัพย์หมุนเวียนเหลืออยู่หรือไม่ ซึ่งบอกให้ทราบว่าธุรกิจมีสภาพคล่องสูงหรือต่ำ <br /> 1.2 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid-test Ratio)เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดสภาพคล่องของกิจการอีกประเภทหนึ่งแสดงความสามารถที่กิจการจะนำสินทรัพย์หมุนเวียนที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว มาจ่ายชำระหนี้สินระยะสั้นได้ทันเวลาหรือไม่<br /> Quick Ratio or Acid-test Ratio =[เงินสด+เงินลงทุนระยะสั้น+ลูกหนี้การค้าและตั๋วเงินรับ]-สินค้าคงคลัง/หนี้สินหมุนเวียน = …….เท่า<br /> ผลลัพธ์บอกให้ทราบว่า ณ วันที่วิเคราะห์งบการเงิน กิจการมีสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วเป็นกี่เท่าของหนี้สินหมุนเวียน เพื่อจะใช้ชำระหนี้สินหมุนเวียนได้ทันเวลาหรือไม่<br /><br /> 2. อัตราส่วนวัดประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (Activity Ratio) เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ของกิจการ อัตราส่วนนี้เกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบระหว่างยอดขายกับการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ของกิจการ <br /> 2.1 อัตราส่วนหมุนเวียนของลูกหนี้ (Receivables Turnover)<br /> อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ = ยอดขายเชื่อ/ ลูกหนี้เฉลี่ย =……ครั้ง <br /> ลูกหนี้เฉลี่ย = [ลูกหนี้การค้าต้นงวด + ลูกหนี้การค้าปลายงวด]/2 <br /> ผลลัพธ์บอกให้ทราบว่า ช่วงเวลาที่ทำการวิเคราะห์ ธุรกิจขายสินค้าเป็นเงินเชื่อและสามารถเรียกเก็บหนี้ได้กี่ครั้ง ถ้าอัตราส่วนการหมุนเวียนของลูกหนี้สูงยิ่งดี แสดงว่า ในช่วงที่วิเคราะห์ธุรกิจมีการขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ และเก็บหนี้จากลูกหนี้ได้เร็ว คือลูกหนี้ของกิจการมีความคล่องตัวสูง ระยะเวลาในการเก็บหนี้ถัวเฉลี่ย<br /> (Average Collection Period) = จำนวนวันในหนึ่งปี =…….วัน อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ ผลลัพธ์บอกให้ทราบว่า ในช่วงเวลาการวิเคราะห์ กิจการสามารถเก็บเงินจากลูกหนี้ใช้เวลากี่วัน จำนวนวันที่ใช้ในการเก็บเงินจากลูกหนี้ยิ่งน้อยวันยิ่งดี ถ้าจำนวนวันมากจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดหนี้สูญ<br /> 2.2 อัตราการหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover)<br /> อัตราการหมุนเวียนของสินค้า = ต้นทุนขาย/สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =…….ครั้ง <br /> สินค้าคงเหลือเฉลี่ย = (สินค้าคงเหลือต้นงวด + สินค้าคงเหลือปลายงวด)/ 2<br /> ผลลัพธ์จากการคำนวณอัตราการหมุนเวียนของสินค้าบอกให้ทราบว่าธุรกิจได้ขายสินค้าจนกระทั่งเก็บเงินได้มีจำนวนกี่ครั้ง ถ้าอัตราการหมุนเวียนของสินค้า มีจำนวนมากครั้ง แสดงถึงประสิทธิภาพด้านการขายอยู่ในเกณฑ์ดีและสินค้าเป็นที่ต้องการของตลาดทำให้ขายสินค้าได้เร็ว ระยะเวลาในการเก็บรักษาสินค้า (Average Day Inventory in Stock) ระยะเวลาในการเก็บรักษาสินค้า = จำนวนวันใน 1 ปี =……วัน อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ ผลลัพธ์บอกให้ทราบว่า การวิเคราะห์เงินทุนที่ได้ลงทุนในสินค้านั้นกว่าจะเปลี่ยนสภาพเป็นลูกหนี้หรือเงินสดใช้เวลากี่วัน<br /> 2.3 อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Asset Turnover)<br /> อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม = ยอดขาย/สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =…..ครั้งสินค้าคงเหลือเฉลี่ย<br /> อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ใด ๆ เช่น ที่ดิน, อาคารและอุปกรณ์ สำนักงาน เป็นต้น <br /> อัตรา การหมุนเวียนของสินทรัพย์............ = ยอดขาย =…..ครั้ง สินทรัพย์..........เฉลี่ย ผลลัพธ์บอกให้ทราบว่า ความสามารถของกิจการในการใช้สินทรัพย์นั้น ๆ มีประสิทธิภาพเพียงใด <br /><br />3. อัตราส่วนวัดสภาพหนี้สิน (Leverage Ratio) เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดความสามารถในการก่อหนี้ของกิจการ<br /> 3.1 อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์รวม (Debt Ratio) <br /> อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์รวม = หนี้สินรวม/สินทรัพย์รวม =……..% ผลลัพธ์บอกให้ทราบว่ากิจการมีการกู้ยืมเงินมาลงทุนเป็นอัตราร้อยละเท่าไรของสินทรัพย์รวมฝ่ายเจ้าหนี้จะพอใจในอัตราส่วนที่ปานกลางจนถึงต่ำ แสดงว่ากิจการมีสินทรัพย์รวมมากกว่าหนี้สินรวม ฝ่ายเจ้าของกิจการ จะพอใจในอัตราส่วนที่สูงเนื่องจาก<br /> 1. เจ้าของกิจการหลีกเลี่ยงการเพิ่มทุนของกิจการ 2. เป็นการนำเงินของเจ้าหนี้มาลงทุนซึ่งมีต้นทุนต่ำ 3. เป็นการลดความเสี่ยงในเงินลงทุนของเจ้าของกิจการ <br /> 3.2 อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio)<br /> อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น = หนี้สินรวม/ส่วนของผู้ถือหุ้น =……เท่า ผลลัพธ์ที่ได้บอกให้ทราบว่าธุรกิจมีแหล่งที่มาของเงินทุนจากหนี้สินเป็นกี่เท่าของผู้ถือหุ้น<br /> 3.3 อัตราส่วนวัดความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Time Interest Earned or Interest Coverage Ratio)<br /> แสดงความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยTime Interest Earned = กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้/ ดอกเบี้ยจ่าย =…….เท่าผลลัพธ์บอกให้ทราบว่า กิจการมีผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเงินได้เป็นกี่เท่าของดอกเบี้ยจ่าย แสดงถึงความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและแสดงให้เห็นว่ากิจการจะต้องทำกำไรเท่าใด จึงจะเพียงพอต่อการจ่ายดอกเบี้ย <br /><br />3.4 อัตราส่วนวัดความสามารถในการจ่ายค่าใช้จ่ายประจำทางการเงิน (Fixed Charge Coverage Ratio) ค่าใช้จ่ายประจำทางการเงิน คือ ดอกเบี้ยจ่าย ค่าเช่าระยะยาว และจ่ายเงินกองทุนจม (Sinking Fund) ซึ่งเงินกองทุนจมจ่ายจากกำไรหลังหักภาษีต้องปรับปรุงโดยหาร (1 – อัตราภาษี) เพื่อเป็นกำไรก่อนหักภาษีอัตราส่วนวัดความสามารถในการจ่ายค่าใช้จ่ายประจำทางการเงิน = กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ =……เท่า ดอกเบี้ย+ค่าเช่า+ เงินกองทุนจม (1 – อัตราภาษีเงินได้) ผลลัพธ์ที่ได้บอกให้ทราบว่ากิจการมีกำไรเพียงพอที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายประจำทางการเงินได้เพียงใด <br />4. อัตราส่วนวัดความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratios) เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ <br /><br />1. กำไรที่เปรียบเทียบกับยอดขาย ได้แก่ <br /><br />4.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เป็นอัตราส่วนที่แสดงว่าขาย 100 บาท ได้กำไรขั้นต้นเท่าไร<br /> อัตรากำไรขั้นต้น = กำไรขั้นต้น/ ยอดขายสุทธิ × 100 =……………..% ผลลัพธ์บอกให้ทราบว่ากิจการมีกำไรขั้นต้นเป็นร้อยละเท่าใดของยอดขาย อัตราส่วนนี้ยิ่งสูงยิ่งดีแสดงความสามารถในการทำกำไรขั้นต้น <br /><br />4.2 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) เป็นอัตราส่วนที่แสดงว่าขาย 100 บาท มีกำไรสุทธิเท่าไร<br /> อัตรากำไรสุทธิ = กำไรสุทธิหลังภาษี/ยอดขายสุทธิ× 100 =……………% ผลลัพธ์บอกให้ทราบว่า กิจการมีกำไรสุทธิเป็นร้อยละเท่าไรของยอดขาย อัตราส่วนนี้ยิ่งสูงยิ่งดีแสดงความสามารถในการทำกำไรสุทธิ<br /><br />2. กำไรที่เปรียบเทียบกับเงินลงทุนในสินทรัพย์และส่วนของผู้ถือหุ้น ได้แก่ <br />4.3 อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม (Return on Total Asset หรือ ROB) แสดงให้เห็นถึง ประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์รวมที่กิจการมีอยู่ว่าก่อให้เกิดผลตอบแทนในรูปกำไรให้กับธุรกิจมากหรือน้อยอย่างไร บางครั้งเรียกอัตราส่วนนี้ว่า อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment หรือ ROI) <br /> อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม = กำไรสุทธิหลังภาษี/ สินทรัพย์รวม × 100 = ………%<br /> ผลลัพธ์ที่ได้แสดงว่ากิจการใช้สินทรัพย์ได้มีประสิทธิภาพเพียงใด หรืออาจเป็นที่สินทรัพย์ใช้ประโยชน์ได้น้อยเนื่องจากเสื่อมคุณภาพ ถ้าอัตราส่วนนี้สูง แสดงว่ากิจการใช้สินทรัพย์แล้วก่อให้เกิดกำไรสูง ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่ากิจการใช้สินทรัพย์แล้วก่อให้เกิดกำไรน้อย<br /> อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน = กำไรสุทธิหลังภาษี × ยอดขาย สินทรัพย์รวม = กำไรสุทธิหลังภาษี สินทรัพย์รวม <br />4.4 อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity)หรือ ROE<br /> เป็นอัตราส่วนที่แสดงให้ผู้ถือหุ้นทราบว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนมากน้อยเพียงใด<br /> อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น = กำไรสุทธิหลังภาษี/ส่วนของถือหุ้น × 100 =……% ผลลัพธ์ที่ได้แสดงว่ากิจการนำส่วนของผู้ถือหุ้นมาลงทุนแล้วก่อให้เกิดกำไรมากน้อยเพียงใด <br /><br />5. อัตรากำไรสำหรับผู้ลงทุนในหุ้นสามัญ <br />5.1 อัตรากำไรต่อหุ้น (Earning per Share)<br /> อัตรากำไรต่อหุ้น = กำไรสุทธิ - เงินปันผลของหุ้นบุริมสิทธิ = .............บาท/หุ้นสามัญ<br /> จำนวนหุ้นสามัญ ผลลัพธ์บอกให้ทราบว่าการลงทุนในหุ้นสามัญ 1 หุ้น ผู้ถือหุ้นจะได้กำไรกี่บาท ถ้านำกำไรต่อหุ้นของกิจการมาเปรียบเทียบกับกำไรต่อหุ้นของกิจการในอดีตจะสามารถบอกถึงแนวโน้มการหากำไรของกิจการได้ว่า มีความสามารถในการหากำไรต่อหุ้นดีขึ้นหรือเลวลงอย่างไรหรืออาจจะนำกำไรต่อหุ้นของกิจการมาเปรียบเทียบกับกำไรต่อหุ้นของกิจการในอุตสาหกรรมเดียวกันที่มีขนาดเท่ากันก็สามารถบอกได้ว่า ธุรกิจใดมีความสามารถในการหากำไรดีกว่ากัน <br /><br />5.2 อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (Price – Earning Ratio or P/E Ratio)<br /> P/E Ratio = ราคาตลาดต่อหุ้นของหุ้นสามัญ กำไรต่อหุ้น ผลลัพธ์แสดงว่าเพื่อให้ได้กำไร 1 บาทต่อหุ้น ผู้ลงทุนจะต้องลงทุนเท่าใด หรือราคาตลาดเป็นกี่เท่าของกำไรต่อหุ้น ถ้า P/E Ratio สูง แสดงว่านักลงทุนยินดีลงทุน ซื้อหุ้นในราคาตลาดสูงเมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้น สะท้อนว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในความสามารถในการทำกำไรในอนาคตของกิจการ<br />5.3 อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) อัตราการจ่ายเงินปันผล = เงินปันผลต่อหุ้น × 100 = ………..% กำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ = เงินปันผล กำไรสุทธิ ผลลัพธ์บอกให้ทราบว่า ธุรกิจมีนโยบายจ่ายเงินปันผลคิดเป็นร้อยละเท่าไรของกำไรสุทธิ และเก็บเป็นกำไรสะสมจำนวนเท่าใด 5.4 อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล = เงินปันผลต่อหุ้น × 100 = ………% ราคาตลาดต่อหุ้น อัตราส่วนนี้แสดงถึงร้อยละของเงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับเมื่อลงทุนซื้อหุ้นสามัญ ณ ราคาตลาดขณะนั้น<br /><br /> 2. การวิเคราะห์งบการเงินโดยวิธีแนวนอน (Horizontal Analysis) การวิเคราะห์วิธีนี้เป็นการเปรียบเทียบเพื่อหาการเปลี่ยนแปลงของรายการในงบการเงินแต่ละรายการ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะแสดงในรูปของจำนวนเงิน และอัตราร้อยละ วัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์เพื่อการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของรายการในงบการเงินทุกรายการ ผลที่ได้รับจะนำไปหาสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของธุรกิจ<br /> 3. การวิเคราะห์งบการเงินโดยวิธีแนวตั้ง (Vertical Analysis) หรือ Common Size Statement เป็นการวิเคราะห์งบการเงิน โดยย่อส่วนตัวเลขรายการในงบการเงินแต่ละรายการให้เป็นค่าร้อยละ เรียกว่า Common Size Statement การวิเคราะห์รายการในงบดุล ให้คิดเป็นร้อยละของสินทรัพย์รวม หรือร้อยละของหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น ส่วนการวิเคราะห์รายการในงบกำไรขาดทุน ให้คิดเป็นร้อยละของยอดขายสุทธิ การวิเคราะห์วิธีนี้ถ้านำงบการเงินมาวิเคราะห์เพียงปีเดียวก็จะทราบเพียงโครงสร้างของงบการเงินเฉพาะปีนั้น ถ้าวิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบงบการเงินตั้ง 2 ปีขึ้นไป ก็จะทราบการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างงบการเงินของบริษัทในช่วงระยะเวลานั้นๆ และถ้าเปรียบเทียบกับงบการเงินของบริษัทคู่แข่งก็จะทราบถึงความแตกต่าง ด้านการลงทุน การจัดหาเงินทุน และความสามารถในการทำกำไร<br /> 4. การวิเคราะห์แนวโน้ม การวิเคราะห์วิธีแนวโน้มจะเป็นการวิเคราะห์งบการเงินตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปเพื่อให้เห็นอัตราการเติบโตของธุรกิจนำไปสู่การวางแผนและตัดสินใจระยะยาว การวิเคราะห์วิธีแนมโน้มจะกำหนดให้ปีใดปีหนึ่งเป็นปีฐาน โดยทั่วไปนิยมให้ปีแรกของการวิเคราะห์เป็นปีฐานและให้มีค่าเท่ากับ 100 % ตัวเลขที่ได้เป็นอัตราร้อยละ เพื่อชี้ให้เห็นว่ารายการใดในงบมีแนวโน้มสูงขึ้น รายการใดคงที่และรายการใดมีแนวโน้มลดลง<br /> 5. งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) เงินสดเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนที่มีความสำคัญมากในธุรกิจ ถ้าผู้บริหารมีความสามารถในการจัดการเงินสดจะทำให้ธุรกิจเจริญก้าวหน้า แต่ถ้าผู้บริหารจัดการ เงินสดไม่มีประสิทธิภาพจะทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก และอาจก่อให้เกิดความเสียหายถึงขั้นล้มละลายได้ ผู้วิเคราะห์งบการเงินจึงให้ความสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของรายการเงินสด เพื่อจะได้ทราบถึงสาเหตุที่จะทำให้เงินสดเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารทางการเงินจึงได้จัดทำรายการการเงินที่แสดงแหล่งที่มาและแหล่งใช้ไปของ เงินสด โดยเรียกรายการนั้นว่างบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้บริหารที่จะใช้ประเมินผลการดำเนินงานตลอดจนประเมินความสามารถของธุรกิจในการจ่ายเงินปันผล ดอกเบี้ย และเงินกู้ ในอดีตธุรกิจจะจัดทำงบกระแสเงินสดแสดงการเปลี่ยนแปลงฐานะทางการเงิน 3 รูปแบบ ซึ่งแต่ละบริษัทมักเลือกใช้รูปแบบไม่เหมือนกัน ทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทยจึงได้กำหนดมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 25 ให้จัดทำงบกระแสเงินสด เพียงรูปแบบเดียวให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และให้ความหมายของงบกระแสเงินสดดังนี้ งบกระแสเงินสด คือรายงานการเงินที่แสดงแหล่งที่มาและแหล่งใช้ไปของเงินสดในระหว่างงวดบัญชีที่กำลังพิจารณา แสดงให้ทราบว่าธุรกิจได้เงินสดมาจากแหล่งใดและใช้เงินสดอย่างไร ผลต่างของเงินสดที่ได้มาทั้งหมดกับเงินสดที่ใช้ไปทั้งหมดตลอดงวดจะต้องเท่ากับเงินสดที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในงวดบัญชีนั้น ประโยชน์ของงบกระแสเงินสด<br /> 1. ทำให้ทราบแหล่งที่มาและแหล่งใช้ไปของเงินสด เช่น งบกระแสเงินสดจะแสดงให้ทราบว่าบริษัทได้เงินมาจากส่วนของผู้ถือหุ้นหรือจากการกู้ยืม และบริษัทนำเงินที่ได้มาไปลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนหรือสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนมากน้อยเท่าไร<br /> 2. การจัดทำงบแสดงการเปลี่ยนแปลงฐานะทางการเงินในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทำให้ยากต่อการเปรียบเทียบ ดังนั้นการใช้งบกระแสเงินสดตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 25 จะทำให้สามารถเปรียบเทียบงบแต่ละบริษัทได้ง่ายและทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น <br />3. สามารถนำข้อมูลของงบกระแสเงินสดในอดีตมาใช้ในการวางแผนทางการเงินในอนาคต <br />4. ทำให้ทราบสภาพคล่องของบริษัท การทำธุรกิจโดยปกติ การเปลี่ยนแปลงของเงินสดแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่<br /> 1. กระแสเงินสดรับ (Cash Inflows)กระแสเงินสดรับทำให้เงินสดเพิ่มขึ้น ซึ่งมีสาเหตุ 4 ประการ ดังนี้<br /> 1.1 จากการดำเนินงาน ในการดำเนินธุรกิจ ธุรกิจจะได้รับเงินมาจากการขายสินค้าและบริการ<br /> 1.2 จากการขายสินทรัพย์ เมื่อมีการขายสินทรัพย์ เงินสดจะเพิ่มขึ้นและสินทรัพย์จะลดลง<br /> 1.3 จากการกู้ยืม การกู้ยืมทำให้เงินสดเพิ่มขึ้นและหนี้สินเพิ่มขึ้น<br /> 1.4 จากส่วนของผู้ถือหุ้น เมื่อนำหุ้นทุนออกมาขายจะทำให้ได้รับเงินสดและส่วนของผู้ถือหุ้นก็เพิ่มขึ้น<br /> 2. กระแสเงินสดจ่าย (Cash Outflows)กระแสเงินสดจ่ายทำให้เงินสดลดลง ซึ่งมีสาเหตุ 5 ประการ ดังนี้<br /> 2.1 จากการดำเนินงาน ในการดำเนินธุรกิจ ธุรกิจจ่ายเงินสดเพื่อซื้อสินค้าและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ <br /> 2.2 ซื้อสินทรัพย์ การซื้อสินทรัพย์ทำให้เงินสดลง และสินทรัพย์เพิ่มขึ้น<br /> 2.3 ชำระหนี้ การจ่ายเงินสดชำระหนี้ ทำให้หนี้สินลดลงและเงินสดลดลง<br /> 2.4 จากส่วนของผู้ถือหุ้น ธุรกิจต้องการลดจำนวนหุ้นสามัญให้น้อยลงจึงใช้วิธีซื้อหุ้นกลับคืนมีผลกำไรทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงและเงินสดลดลง<br /> 2.5 การจ่ายเงินปันผล ทำให้เงินสดลดลงกระแสเงินสดรับและจ่ายจะจำแนกตามประเภทของกิจกรรมในงบกระแสเงินสดตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 25 ได้ดังนี้<br /> 1. กิจกรรมดำเนินงาน2. กิจกรรมลงทุน3. กิจกรรมจัดหาเงิน 1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (Operating Activities)กิจกรรมดำเนินงาน หมายถึง กิจกรรมหลักที่ก่อให้เกิดรายได้ของกิจการ และกิจการอื่นที่มิใช่กิจกรรมลงทุนหรือกิจกรรมจัดหาเงิน หรือเป็นกิจกรรมการดำเนินงานโดยปกติของกิจการ โดยจะเกี่ยวข้องกับการขายสินค้าและการให้บริการ รวมถึงรายการค้าทุกรายการที่เกิดขึ้นในการดำเนินงานที่มีผลกระทบต่อกำไรสุทธิของกิจการ กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน สามารถาจัดทำได้ 2 วิธี คือ<br /> 1. วิธีทางตรง (Direct Method) แสดงกระแสเงินสดรับและเงินสดจ่ายตามลักษณะหน้าที่หลักที่เกิดขึ้นของทั้ง 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมการดำเนินงาน กิจกรรมการลงทุนและกิจกรรมการจัดหาเงิน ซึ่งทราบได้จากการบันทึกรายการบัญชีของหน่วยงานหรือการเปลี่ยนแปลงรายการ ในงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงินด้วยผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงรายการใน งบแสดงฐานะการเงิน<br /> 2. วิธีทางอ้อม (Indirect Method) แสดงด้วยการตั้งยอดรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายจากกิจกรรมตามปกติ ปรับด้วย ผลกระทบของรายการที่ไม่เกี่ยวกับเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและรายการค้างรับ ค้างจ่ายของเงินสดรับและเงินสดจ่ายในอดีตหรือในอนาคตจะได้กระแสเงินสดจาก กิจกรรมการดำเนินงาน ส่วนรายการรับ - จ่ายเงินสดจากกิจกรรมการลงทุนหรือกิจกรรมการจัดหาเงินแสดงเช่นเดียวกับวิธีทางตรงรายการที่จะนำมาปรับปรุงกำไรสุทธิให้เป็นกำไรสุทธิตามเกณฑ์เงินสดในการจัดทำกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานมีดังนี้<br /> 1. ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินสด เช่น ค่าเสื่อมราคา การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ ภาษีรอการตัดบัญชี การตัดมูลค่าสูญสิ้น การตัดบัญชีค่าความนิยมและสินทรัพย์ไม่มีตัวตน<br /> 2. การตัดบัญชีส่วนต่ำมูลค่าหุ้นกู้ และส่วนเกินมูลค่าหุ้นกู้<br /> 3. การเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์หมุนเวียนที่มีผลกระทบต่อรายได้หรือค่าใช้จ่ายในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชี เช่น ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ เป็นต้น<br /> 4. การเปลี่ยนแปลงในบัญชีหนี้สินหมุนเวียนที่มีผลกระทบต่อรายได้หรือ ค่าใช้จ่ายในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชี เช่น เจ้าหนี้การค้า ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย เป็นต้น<br /> 5. รายการอื่น ซึ่งกระทบกับเงินสดอันเกิดจากกระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุนหรือกิจกรรมจัดหาเงิน เช่น กำไรหรือขาดทุนจากการจำหน่ายสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนและกำไรหรือขาดทุนจากกการไถ่ถอนหุ้นกู้กระแสเงินสดรับจากกิจกรรมดำเนินงาน ได้แก่- เงินสดรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการ- รับชำระหนี้จากลูกหนี้การค้า- เงินสดรับอื่น ๆ เช่น รายได้ค่าเช่า รายได้ค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ยรับ และรายได้ค่านายหน้า เป็นต้น กระแสเงินสดจ่ายจากกิจกรรมดำเนินงาน ได้แก่- ซื้อวัตถุดิบหรือซื้อสินค้า- จ่ายให้เจ้าหนี้ค่าซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบ- จ่ายเงินเดือนพนักงาน- ดอกเบี้ยจ่าย และค่าภาษีต่าง ๆ 2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (Investing Activities) กิจกรรมลงทุน หมายถึง การซื้อและจำหน่ายสินทรัพย์ระยะยาวและเงินลงทุนอื่น ซึ่งไม่รวมอยู่ในรายการเทียบเท่าเงินสด หรือเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับการลงทุนที่เกิดจากการซื้อหรือการขายสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนและสินทรัพย์อื่น และการลงทุนในหุ้นของบริษัทอื่น กระแสเงินสดรับจากกิจกรรมลงทุน ได้แก่- เงินสดที่ได้รับจากการขายเงินลงทุนระยะสั้น, เงินลงทุนระยะยาว, ที่ดิน, อาคารและอุปกรณ์, สินทรัพย์ไม่มีตัวตน และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น ๆ กระแสเงินสดจ่ายจากกิจกรรมลงทุน ได้แก่ - เงินสดจ่ายซื้อที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ สินทรัพย์ไม่มีตัวตน และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น ๆ - ซื้อหลักทรัพย์ของกิจการอื่น เช่น เงินลงทุนระยะสั้น เงินลงทุนระยะยาว และหุ้นของบริษัทอื่น 3. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (Financing Activities)กิจกรรมจัดหาเงิน หมายถึง กิจกรรมที่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในขนาดและองค์ประกอบของส่วนของผู้ถือหุ้นและหนี้สินของกิจการ หรือเป็นกิจกรรมการจัดหาเงินที่เกี่ยวข้องกับส่วนของผู้ถือหุ้น หนี้สินระยะยาวและหนี้สินระยะสั้นบางรายการการกู้ยืมเงินและการชำระคืนเงินกู้ยืมรวมทั้งการได้รับและชำระคืนแหล่งเงินทุนอื่นเนื่องจากหนี้สินระยะยาว กระแสเงินสดรับจากกิจกรรมจัดหาเงิน ได้แก่ - การออกหุ้นทุน เช่น ออกหุ้นสามัญ - การออกหุ้นกู้ ตั๋วเงินจ่าย การกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาว กระแสเงินสดจ่ายจากกิจกรรมจัดหาเงิน ได้แก่ - จ่ายซื้อหุ้นทุนกลับคืน - จ่ายชำระเงินกู้ยืม - จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น การจัดทำงบกระแสเงินสด สามารถทำได้ 2 วิธี คือ วิธีทางตรง (Direct Method) และวิธีทางอ้อม (Indirect Method) ซึ่งกิจการส่วนใหญ่นิยมจัดทำงบกระแสเงินสดวิธีทางอ้อมเพราะเป็นวิธีสะดวกและรวดเร็ว แหล่งที่มาของข้อมูลในการจัดทำงบกระแสเงินสด 1. งบดุลเปรียบเทียบ 2. งบกำไรขาดทุนปีปัจจุบัน 3. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการที่เกิดขึ้นในระหว่างปี ขั้นตอนการจัดทำงบกระแสเงินสด 1. เตรียมข้อมูลและวิเคราะห์1.1 งบดุลเปรียบเทียบ นำรายการต่างๆ ในงบดุลมาเปรียบเทียบเพื่อให้ทราบการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้น วิเคราะห์ถึงสาเหตุของเปลี่ยนแปลง และผลกระทบต่อกระแสเงินสด ดังตารางตัวอย่าง1.2 งบกำไรขาดทุนปีปัจจุบัน ข้อมูลจากงบกำไรขาดทุน ทำให้ทราบรายการต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามปกติของกิจการ เช่น การขายสินค้า การซื้อสินค้า การจ่ายค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เป็นต้น ทำให้ทราบกระแสเงินสดรับและกระแสเงินสดจ่ายจากกิจกรรมเนินงาน สำหรับการจัดทำงบกระแสเงินสดวิธีทางอ้อม วิธีนี้นำสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามปกติของกิจการ และรายได้หรือค่าใช้จ่ายบางรายการที่ไม่เกี่ยวกับเงินสดไปปรับปรุงกำไรสุทธิเปลี่ยนจากเกณฑ์คงค้างเป็นเกณฑ์เงินสด สรุปได้ว่าดังตารางแสดงการปรับรายการกำไรสุทธิให้เป็นเกณฑ์เงินสด1.3 ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการที่เกิดขึ้นในระหว่างปี1.3.1 กำไรสะสมที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากกำไรสุทธิหักด้วยเงินปันผลจ่าย ในงบกระแสเงินสดจะใช้กำไรสะสมในการหาเงินปันผลจ่าย ซึ่งเงินปันผลจ่ายอยู่ในกิจกรรมจัดหาเงินกำไรสะสมปลายปี = กำไรสะสมต้นปี + กำไรสุทธิ - เงินปันผลจ่ายเงินปันผลจ่าย = กำไรสะสมต้นปี + กำไรสุทธิ - กำไรสะสมปลายปีเงินปันผลจ่าย = กำไรสุทธิ - ผลต่างของกำไรสะสม 1.3.2 การเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์ถาวรค่าเสื่อมราคาสะสมที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการคิดค่าเสื่อมราคาประจำปีDr ค่าเสื่อมราคา อยู่ในงบกำไรขาดทุนCr ค่าเสื่อมราคาสะสม อยู่ในงบดุล หากไม่มีรายการอื่นมาเกี่ยวข้อง จำนวนค่าเสื่อมราคาสะสมที่เพิ่มขึ้นจะต้องเท่ากับค่าเสื่อมราคาประจำปีที่ปรากฏอยู่ในงบกำไรขาดทุนพอดี แต่ถ้ากรณีผลต่างของค่าเสื่อมราคาสะสมในงบดุล ไม่เท่ากับค่าเสื่อมราคาในงบกำไรขาดทุนแสดงว่าอาจมีการซื้อหรือขายสินทรัพย์ถาวรในงวดบัญชีนี้ ดังนั้นจึงต้องหาการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์ถาวรใหม่ ใช้สูตรต่อไปนี้ สินทรัพย์ถาวรสุทธิปลายงวด XX บวก ค่าเสื่อมราคา XX XX หัก สินทรัพย์ถาวรต้นงวด XX การเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์ถาวร XX ถ้าผลลัพธ์ที่ได้เป็นบวกแสดงว่ามีการซื้อสินทรัพย์ถาวร จึงเป็นเงินสดจ่าย ถ้าผลลัพธ์ที่ได้ติดลบ แสดงว่าขายสินทรัพย์ถาวรจึงเป็นเงินสดรับ 2. จำแนกรายการเข้ากิจกรรมหลัก 3 กิจกรรมในงบกระแสเงินสด แนวทางเบื้องต้นในการพิจารณาจัดสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้นเข้ากิจกรรม สรุปได้ดังนี้ กิจกรรมดำเนินงาน - สินทรัพย์หมุนเวียน (ยกเว้น เงินสดและเงินลงทุน ระยะสั้น)กิจกรรมลงทุน - หนี้สินหมุนเวียน (ยกเว้น ตั๋วเงินจ่ายและเงินกู้ ระยะสั้น)กิจกรรมลงทุน - เงินลงทุนระยะสั้น - เงินลงทุนระยะยาว - ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ - สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นกิจกรรมจัดหาเงิน - หนี้สิน ได้แก่ ตั๋วเงินจ่าย เงินกู้ระยะสั้น เงินกู้ ระยะยาวและหุ้นกู้ เป็นต้น - ส่วนของผู้ถือหุ้น - เงินปันผลจ่าย<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-47295607283146776232011-06-15T09:07:00.000-07:002011-06-15T09:35:43.343-07:00ข่าว ปชส.ศรย.ฉบับที่๗/๒๕๕๔เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายจักรี สุจริตธรรม ผู้ตรวจราชการเขต ๑๐,๑๒ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินทางมาเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ยางพารา จังหวัดขอนแก่น และให้เกียรติเป็นประธานพิธีกล่าวเปิด หลักสูตร “งานผลิตภัณฑ์ยางแห้งเบื้องต้น” สำหรับกลุ่มผู้นำสถาบันเกษตรกร ให้แก่ผู้นำสถาบันเกษตรกร รุ่นที่ ๓ ณ โรงงานต้นแบบอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางสำหรับเกษตรกรจังหวัดขอนแก่น และช่วงบ่ายได้เดินทางไปเป็นประธานการประชุมติดตามงานหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ของจังหวัดขอนแก่น ณ สกย.จ.ขอนแก่น ในการนี้ผู้ตรวจราชการฯ ได้เสนอให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดขอนแก่น เสนอโครงการเพิ่มศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ใน ศูนย์เรียนรู้ยางพารา อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น จำนวน ๑ ศูนย์<br /><br /><br /><a href="http://2.bp.blogspot.com/-4_0rAIVRwBs/TfjbTzRoByI/AAAAAAAACCk/PYixD2ZrEb4/s1600/251612_233822279965849_100000142355779_1111591_5660304_n.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://2.bp.blogspot.com/-4_0rAIVRwBs/TfjbTzRoByI/AAAAAAAACCk/PYixD2ZrEb4/s320/251612_233822279965849_100000142355779_1111591_5660304_n.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5618481668372825890" /></a><br /><br /> <br /><br /><br />ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯนายจักรี สุจริตธรรม เยี่ยม ศูนย์เรียนรู้ยางพารา จ.ขอนแก่น<br /><br />และตรวจเยี่ยมโรงงานต้นแบบฯ<br /><br /><a href="http://4.bp.blogspot.com/-WvVWN-1Z5sA/TfjbfiQ_JsI/AAAAAAAACCs/jSWxoOwdNFc/s1600/252913_233896786625065_100000142355779_1112460_79018_n.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://4.bp.blogspot.com/-WvVWN-1Z5sA/TfjbfiQ_JsI/AAAAAAAACCs/jSWxoOwdNFc/s320/252913_233896786625065_100000142355779_1112460_79018_n.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5618481869965174466" /></a><br /><br /><br />ช่วงบ่ายวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ ผู้ตรวจจักรีฯ ประชุมหัวหน้าส่วนราชการ สังกัดกระทรวงเกษตรฯ ที่ห้องประชุม สกย.จ.ขอนแก่น<br /><br /><a href="http://1.bp.blogspot.com/-PrmNV6s8qOg/TfjbGDPGLaI/AAAAAAAACCc/CGl5aV-tTC8/s1600/247089_233897419958335_100000142355779_1112466_7149830_n.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://1.bp.blogspot.com/-PrmNV6s8qOg/TfjbGDPGLaI/AAAAAAAACCc/CGl5aV-tTC8/s320/247089_233897419958335_100000142355779_1112466_7149830_n.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5618481432139017634" /></a><br /><br /><br />อบรมการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากยางแห้ง<br /><br /> <a href="http://4.bp.blogspot.com/-JNcTA36dyVI/TfjbrSuADaI/AAAAAAAACC0/goCrQtKYmvM/s1600/250548_233898196624924_100000142355779_1112476_7646773_n.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://4.bp.blogspot.com/-JNcTA36dyVI/TfjbrSuADaI/AAAAAAAACC0/goCrQtKYmvM/s320/250548_233898196624924_100000142355779_1112476_7646773_n.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5618482071950331298" /></a><br /><br /><br />ใบประกาศผู้ผ่านการฝึกอบรมฯ<br /><br /> <br /><br />กิจกรรมในศูนย์เรียนรู้ยางพารา สกย.จ.ขอนแก่น <br /><br /> เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๑๕.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. ศูนย์เรียนรู้ยางพาราจังหวัดขอนแก่น โดยพนักงานและลูกจ้าง ได้ร่วมกันปลูกต้นไม้หน้าศูนย์เรียนรู้ยางพารา และได้จัดกิจกรรม "วันสปอร์ตเดย์" เพื่อเป็นการออกกำลังเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับพนักงานและลูกจ้าง ต่อจากนั้นในช่วงค่ำได้จัดงาน "วันเปิดกรีดยางพารา ประจำปี ๒๕๕๔" ด้วย<br /><br /><br /><br /><br /> <a href="http://4.bp.blogspot.com/-Aa3iOg0rxgM/Tfjb4k2v70I/AAAAAAAACC8/u2cz9Koq400/s1600/259954_233898893291521_100000142355779_1112491_7843292_n.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://4.bp.blogspot.com/-Aa3iOg0rxgM/Tfjb4k2v70I/AAAAAAAACC8/u2cz9Koq400/s320/259954_233898893291521_100000142355779_1112491_7843292_n.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5618482300157161282" /></a><br /><br />ปลูกต้นคูน ด้านหน้าศูนย์เรียนรู้<br /><br /><br /><br />สปอร์ตเดย์ ทุกวันพุธในศูนย์เรียนรู้<br /><br /><br /><br />จัดงานวันเปิดกรีด ร่วมสังสรรค์ระหว่างลูกจ้างกรีดยางและพนักงาน ในงาน "วันเปิดกรีดยางพารา ปี๒๕๕๔"<br /><br /><br /> เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายกิติศักดิ์ คงธนไพศาลโสภณเลขาธิการสภาอุตสาหกรรม จังหวัดขอนแก่น ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดการอบรม หลักสูตร “งานผลิตภัณฑ์ยางแห้งเบื้องต้น” สำหรับกลุ่มผู้นำสถาบันเกษตรกร รุ่นที่ ๔ ณ โรงงานต้นแบบอุสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางสำหรับเกษตรกร ณ ศูนย์เรียนรู้ยางพารา ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น <br /><br /> <br /><a href="http://3.bp.blogspot.com/-xQderYH5EDg/TfjcqTGXW0I/AAAAAAAACDM/2tjeJp1sx-o/s1600/253758_233900619958015_100000142355779_1112512_3375739_n.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://3.bp.blogspot.com/-xQderYH5EDg/TfjcqTGXW0I/AAAAAAAACDM/2tjeJp1sx-o/s320/253758_233900619958015_100000142355779_1112512_3375739_n.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5618483154384280386" /></a><br /><br /> <br />เลขาสภาอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น ให้เกียรติมาเปิดอบรมเกษตรกรฯ วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-49273247916666339392011-06-15T08:57:00.000-07:002011-06-15T09:04:27.179-07:00หน้าที่ของการบริหาร (Function of Management)การจำแนกหน้าที่การบริหารของผู้บริหารนั้น ได้มีนักวิชาการจำแนกเอาไว้หลายท่าน ที่น่าสนใจ ดังนี้ ลูเธอร์ กูลวิลด์ (Luther Gulick) ได้จำแนกหน้าที่ของการบริการเอาไว้ 7 ประการ ที่เรียกว่าเป็นแบบการบริหาร คือ “POSDCORB MODELS” ซึ่งประกอบด้วย ดังนี้ <br /><br />P คือ Planning หมายถึง การวางแผน<br />O คือ Organizing หมายถึง การจัดองค์การ <br />S คือ Staffing หมายถึง การจัดคนเข้าทำงาน<br />D คือ Directing หมายถึง การสั่งการ <br />Co คือ Co-ordination หมายถึง การประสานงาน<br />R คือ Reporting หมายถึง การรายงาน<br />B คือ Budgeting หมายถึง การจัดทำงบประมาณ<br /> เฮนรี่ ฟาโย (Henri Fayol) วิศวกรชาวฝรั่งเศส เกิดในปี ค.ศ. 1841 ในระหว่างเป็น ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารของ บริษัทเหมืองแร่แห่งหนึ่งในปี ค.ศ. 1888-1918 ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก คือ General And Industrial Management เป็นหนังสือหลักบริหาร ซึ่งในหนังสือนั้นได้จำแนกหน้าที่ของนักบริหารเอาไว้ 5 ประการ หรือที่เรียกว่า หลักการบริหารแบบ POCCC ดังนี้<br /><br />P คือ Planning หมายถึง การวางแผน<br />O คือ Organizing หมายถึง การจัดการองค์การ<br />C คือ Commanding หมายถึง การบังคับบัญชา<br />C คือ Co-ordinating หมายถึง การประสานงาน<br />C คือ Controlling หมายถึง การควบคุม<br /> เออเนสย์ เดลล์ (Ernest Dale) ได้จำแนกหน้าที่ของผู้บริหารเอาไว้ 7 ประการ และการบริหารตามแนวคิดของ เดลล์ นั้นนิยมนำไปบริหารวงการธุรกิจ (Business Administration) เป็นอย่างมาก การบริหารของเดลล์นั้นใช้หลักการบริหาร POSDCIR ดังนี้<br /><br />P คือ Planning หมายถึง การวางแผน<br />O คือ Organizing หมายถึง การจัดองค์การ<br />S คือ Staffing หมายถึง การจัดคนเข้าทำงาน<br />D คือ Directing หมายถึง การสั่งการ<br />C คือ Controlling หมายถึง การควบคุม<br />I คือ Innovation หมายถึง การสร้างสรรค์สิ่งใหม่<br />R คือ Representation หมายถึง การเป็นตัวแทน<br /> ฮาลอร์ด ดี. คูลย์ (Haroled D.Knootz) ได้จำแนกหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติของนักบริหาร เอาไว้เป็นกระบวนการ ดังนี้ (อ้างจาก พรรณี ประเสริฐวงษ์ และวีรนารถ มานะกิจ, 2533 : 4)<br /> 1. การวางแผน (Planning)<br /> 2. การจัดองค์การ (Organizing)<br /> 3. การรับคนเข้าทำงาน (Staffing)<br /> 4. การสั่งการ (Directing)<br /> 5. การควบคุม (Controlling)<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-14330137163368918812011-06-01T07:12:00.000-07:002011-06-01T07:13:41.669-07:00ยางพันธุ์ใหม่ "RRIT 408"ยางพันธุ์ใหม่ "RRIT 408" ผลงานวิจัยล่าสุดของสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร จุดเด่น ปลูกง่าย โตไว ให้ปริมาณน้ำยางสูง เฉลี่ย 352 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี มากกว่า RRIM 600 ถึงร้อยละ 62 ค่อนข้างต้านทานต่อใบร่วงไฟทอฟธอรา,ใบจุดก้างปลา ต้านทานปานกลางต่อราแป้ง,ใบจุดคอลเลโทตริกัม, โรคเส้นดำ และราสีชมพู ที่สำคัญ ทนความแห้งแล้งได้ดี ต้านทานลม ปานกลาง เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ภาคอีสาน เปิดตัวแล้วในงาน "111 ปีแห่งการเรียนรู้ยางพาราไทย" โดยสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ 28-30 เมษายน ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตรัง อ.ปะเหลียน จ.ตรัง<br /><br />"ในวันงานเราจะแจกกิ่งพันธุ์ยาง RRIT 408 นี้ด้วย โดยจะแจกคนละ 3 กิ่ง เฉพาะผู้ประกอบการผลิตกิ่งตาขาย เพื่อให้นำไปทดลองติดตาดู เพราะคนกลุ่มนี้จะชำนาญการติดตาอยู่แล้ว คือในวันนั้นเราตั้งใจจะเปิดตัวยางพันธุ์ RRIT 408 นี้ด้วย"<br /><br />สุจินต์ แม้นเหมือน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร เผยถึงกล้ายางพันธุ์ใหม่ล่าสุดที่เป็นผลงานวิจัยของสถาบันวิจัยยางที่จะนำมาเปิดตัวในวันงาน "111 ปีแห่งการเรียนรู้ยางพาราไทย" ซึ่งยางพันธุ์นี้กรมวิชาการเกษตร โดยสถาบันวิจัยยางใช้เวลากว่า 25 ปีในการทดสอบสายพันธุ์ที่ผ่านแปลงทดลองตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการเปิดกรีดและขณะนี้ได้เปิดกรีดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ณ แปลงทดลองของศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา ซึ่งผลผลิตน้ำยางดีมาก และเตรียมขยายผลไปยังพื้นที่ปลูกในภาคอีสานต่อไป เนื่องจากยางพาราสายพันธุ์นี้ปลูกง่าย โตไว ให้ผลผลิตน้ำยางสูง ที่สำคัญสามารถทนความแห้งแล้งได้ดีกว่าพันธุ์อื่น<br /><br />สุจินต์ ระบุอีกว่า สำหรับการเลือกพันธุ์ยางปลูกในแต่ละพื้นที่จะมีความแตกต่างกัน เพราะยางแต่ละพันธุ์มีความเหมาะสมต่างกัน ในพื้นที่ปลูกที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ปลูกยางเดิมในภาคใต้และภาคตะวันออก หรือพื้นที่ปลูกยางใหม่ในภาคอีสาน เหนือและกลาง ซึ่งเจ้าของสวนยางจะต้องคำนึงถึงผลตอบแทนที่จะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นน้ำยางหรือเนื้อไม้ หรือทั้งน้ำยางและเนื้อไม้เพื่อจะได้เลือกพันธุ์ยางได้ถูกต้องและได้ผลตอบแทนตามที่หวัง<br /><br />"บางครั้งระดับน้ำในดินมีผลต่อการทำงานของรากยางด้วย อย่างพันธุ์ RRIT 251 และอาร์อาร์ไอเอ็ม (RRIM) 600 ไม่เหมาะที่จะปลูกในแปลงที่มีระดับน้ำใต้ดินตื้น แต่บางพันธุ์สามารถปลูกได้ดีเช่น บีพีเอ็ม (BPM) 24 หรืออย่างโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทรา ยางพันธุ์อาร์อาร์ไอเอ็ม (RRIM) 600 มักจะมีปัญหา แต่พันธุ์พีบี (PB) 255 กลับมีความต้านทานได้ดีกว่า แม้ผลผลิตน้ำยางจะน้อยกว่าอาร์อาร์ไอเอ็ม (RRIM) 600 ก็ตาม"<br /><br />จากอดีตจนปัจจุบันมียางหลายพันธุ์ที่ได้รับการรับรองจากสถาบันวิจัยยางส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก โดยแต่ละสายพันธุ์จะมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเป้าหมายของผู้ปลูกหรือเจ้าของสวนยางว่าจะเน้นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตน้ำยางเป็นหลัก หรือพันธุ์ที่ให้ผลผลิตเนื้อไม้เป็นหลัก หรือพันธุ์ที่ให้ทั้งน้ำยางและเนื้อไม้ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ก็จะเหมาะกับพื้นที่ปลูกที่แตกต่างกันไปด้วย<br /><br />"พันธุ์ยาง RRIT408 นี่ เราใช้เวลาในการปรับปรุงพันธุ์นานถึง 25 ปี โดยพัฒนามาจากพันธุ์ฉะเชิงเทรา 50 หรือ RRIT402 หลังได้ต้นพันธุ์มาแล้วก็ต้องทดลองปลูกในแปลงทดลอง ก็ประมาณ 15 ปี กว่าจะโตเปิดกรีดได้ก็ใช้เวลาอีก 6 ปีรวมแล้วก็ 25 ปีเต็ม ต้องบอกก่อนว่าการวิจัยพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ยางนั้นไม่เหมือนพืชชนิดอื่น เพราะต้องใช้ระยะเวลานาน กว่าจะได้ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปี จึงจะเห็นผล" ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยางกล่าวย้ำ<br /><br />ยางพันธุ์ "RRIT408" นับเป็นอีกก้าวของสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตรในการปรับปรุงพัฒนาสายพันธุ์ยางพาราให้มีคุณภาพดี ก่อนจะนำมาส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกต่อไป<br /><br /> ข้อมูลจาก "สุรัตน์ อัตตะ" หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2554<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-25234196174548011382011-06-01T06:53:00.000-07:002011-06-01T07:03:56.204-07:00ข่าวประชาสัมพันธ์ ศูนย์เรียนรู้ยางพารา ฉบับที่ ๖/๒๕๕๔<a href="http://4.bp.blogspot.com/-n9xbsO28jxk/TeZGsLBLXCI/AAAAAAAACAg/fV2XgGgcS3k/s1600/DSC04984.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://4.bp.blogspot.com/-n9xbsO28jxk/TeZGsLBLXCI/AAAAAAAACAg/fV2XgGgcS3k/s320/DSC04984.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5613251710249819170" /></a><br /><a href="http://2.bp.blogspot.com/-vPOm-Kg0PF4/TeZGXt_fLxI/AAAAAAAACAY/iC8He7tvZVI/s1600/DSC04957.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://2.bp.blogspot.com/-vPOm-Kg0PF4/TeZGXt_fLxI/AAAAAAAACAY/iC8He7tvZVI/s320/DSC04957.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5613251358860717842" /></a><br /><a href="http://2.bp.blogspot.com/-G0jRzJJxW68/TeZFuNgxjBI/AAAAAAAACAQ/NUD67Tgizrg/s1600/DSC04888.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://2.bp.blogspot.com/-G0jRzJJxW68/TeZFuNgxjBI/AAAAAAAACAQ/NUD67Tgizrg/s320/DSC04888.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5613250645767326738" /></a><br />ศูนย์เรียนรู้ยางพารา สกย.จ.ขอนแก่น ส่งวิทยากรมืออาชีพไปช่วย ฝึกอบรมเกษตรกร หลักสูตร“เทคนิคกรีดยาง” แก่ศปจ.อุตรดิตถ์/สกย.จ.แพร่ <br /> เมื่อวันที่ ๑๑ – ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ศูนย์เรียนรู้ยางพารา สกย.จ.ขอนแก่น ร่วมกับ ศูนย์ปฏิบัติการสงเคราะห์สวนยางจังหวัดอุตรดิตถ์ สกย.จ.แพร่ อบรมเกษตรกรหลักสูตร “เทคนิคการกรีดยาง” ณ บ้านปางหมิ่น ม.๑๑ ต.น้ำหมัน อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ โดยมีเกษตรเข้ารับการอบรม ๓๒ คน<br /><br />กิจกรรมในศูนย์เรียนรู้ยางพารา จังหวัดขอนแก่น <br /> ศูนย์เรียนรู้ยางพารา จังหวัดขอนแก่น จัดฝึกอบรมหลักสูตร “การพัฒนาฝีมือช่างกรีดยาง” รุ่นที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๒๓ – ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ณ ศูนย์เรียนรู้ยางพารา อ.เขาสวนกวาง มีเกษตรกรโครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้ฯ(ล้านไร่) จาก อ.น้ำพอง อ.อุบลรัตน์ และ อ.กระนวน เข้าร่วมอบรมจำนวน ๔๒ คน โดยได้รับเกียรติจาก นายประดิษฐ์ ธีระปฐวี เกษตรอำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรม ในการนี้มีนาย Stephen Punker ชาวเบลเยี่ยมพร้อมภรรยาชาวน้ำพอง สนใจเข้าเยี่ยมชมการฝึกอบรม พร้อมขอข้อมูลวิธีการปลูกสร้างสวนยาง และผลตอบแทนจากการลงทุนปลูกยางพาราด้วย<br /><br />เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. คณะครูยางจำนวน ๓๐ คนจาก จ.ชัยภูมิ ในความรับผิดชอบของศูนย์ปฏิบัติการสงเคราะห์สวนยางจังหวัดชัยภูมิ/ สกย.จ.นครราชสีมา เข้าเยี่ยมชมทัศนศึกษากิจกรรมต่างๆ ภายในศูนย์เรียนรู้ยางพารา อาทิ เช่น การปลูกปาล์มน้ำมัน แปลงผลิตกิ่งตายางพันธุ์ดี การกรีดยางและการทำยางแผ่นชั้นดี และโรงงานต้นแบบอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางสำหรับเกษตรกร ในการนี้คณะครูยางฯ ให้ความสนใจในการขยายพันธุ์ยาง และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางเบื้องต้นเป็นพิเศษ ที่พิเศษสุดคือครูยางได้ลงมือทดลองทำการแปรรูปยางคอมปาวด์เป็นไม้กวาดน้ำยาง และยางรองพื้นในรถยนต์ด้วย โดยมี นายโกศล บุญคง หัวหน้าศูนย์เรียนรู้ยางพารา พร้อมคณะพนักงาน ให้การต้อนรับและบรรยายกิจกรรมต่างๆ ในศูนย์เรียนรู้ยางพาราอย่างเป็นกันเอง<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-64633449352019885082011-03-12T06:47:00.000-08:002011-03-12T07:12:03.077-08:00เวียดนามลงทุนปลูกและแปรรูปยางในลาวเพื่อส่งออก<a href="http://1.bp.blogspot.com/-txHo74YExlk/TXuNG_AE7hI/AAAAAAAABt8/ULPtSDpfA9c/s1600/%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%2B%255B640x480%255D.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://1.bp.blogspot.com/-txHo74YExlk/TXuNG_AE7hI/AAAAAAAABt8/ULPtSDpfA9c/s320/%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%2B%255B640x480%255D.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5583211314186350098" /></a><br />เวียงจันทน์ 10 มี.ค.- บริษัทยางเวียดนามจะลงทุนมากกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,500 ล้านบาท) ปลูกต้นยางพาราและสร้างโรงงานแปรรูปยางแผ่นสำหรับส่งออก<br /><br /> เว็บไซต์เบอร์นามาของมาเลเซียอ้างสำนักข่าวเคพีแอลของทางการลาว ว่า นายเหงียน ง็อก เง็น รองกรรมการบริษัทยางพาราดั๊กลักของเวียดนามเผยเมื่อไม่นานมานี้ว่าได้ปลูกต้นยางพาราในลาวแล้วเกือบ 56,250 ไร่นับตั้งแต่ปี 2548 และจะขยายพื้นที่ปลูกต่อไปอีกในอนาคต ส่วนการก่อสร้างโรงงานแปรรูปยางคาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปีนี้ และจะส่งออกยางแผ่นได้ภายในสิ้นปีนี้ โรงงานนี้ตั้งอยู่ที่แขวงจำปาสัก ทางตอนใต้สุดของลาว ติดกับชายแดนไทยและกัมพูชา มีกำลังผลิตปีละ 6,000 ตัน บริษัทมีแผนจะสร้างโรงงานเพิ่มอีก 2 โรงทางตอนใต้ของลาว มีกำลังผลิตรวมกันปีละ 6,000-10,000 ตัน <br /><br /> นายเหงียนอ้างการประเมินของสมาคมยางพาราเวียดนามว่า ความต้องการยางพาราในตลาดโลกจะสูงไปจนถึงปี 2558 เพราะข้อมูลของสมาคมยางพาราโลกชี้ว่า ทั่วโลกใช้ยางพาราเฉลี่ยคนละ 5 กิโลกรัม แต่ผลิตรองรับได้เพียงคนละ 2 กิโลกรัม ตลาดจึงยังมีความต้องการสูงมาก บริษัทจะเล็งส่งออกยางแผ่นไปยังสหรัฐ ยุโรปและชาติตะวันตก<br /><br />ที่มา : สำนักข่าวไทย (วันที่ 10 มีนาคม 2554)<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-77589498477048334792011-02-28T07:42:00.000-08:002011-02-28T07:50:19.033-08:00ศรย.ฝึกอบรมกรีดยาง<a href="http://3.bp.blogspot.com/-0Q94xngtIRE/TWvD9Bj9zoI/AAAAAAAABtk/lHnQ_EQ62eY/s1600/DSC03561.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://3.bp.blogspot.com/-0Q94xngtIRE/TWvD9Bj9zoI/AAAAAAAABtk/lHnQ_EQ62eY/s320/DSC03561.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5578768016587214466" /></a><br /><a href="http://4.bp.blogspot.com/-vQJS2L6D_tk/TWvDEi_85WI/AAAAAAAABtc/pusUAu4GQg0/s1600/DSC03354.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="http://4.bp.blogspot.com/-vQJS2L6D_tk/TWvDEi_85WI/AAAAAAAABtc/pusUAu4GQg0/s320/DSC03354.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5578767046310421858" /></a><br /><br /><br /><br /> ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ศูนย์เรียนรู้ยางพารา จังหวัดขอนแก่น ได้จัดอบรมหลักสูตร "การพัฒนาฝีมือช่างกรีดยาง" มีเกษตรกรชาวสวนยางตามโครการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้ฯ (ล้านไร่) จาก อ.ภูผาม่าน อ.สีชมภู อ.บ้านไผ่ เข้ารับการอบรมทั้งสิ้น ๓๖ คนมีการพักอยู่ในศูนย์ ตลอดการฝึกอบรม ได้รับการฝึกกรีดในแปลงจริง และสาธิตการทำยางแผ่นชั้นดีด้วย ทุกคนประทับใจเพราะเป็นการฝึกเพื่อไปใช้ในสวนตัวเองจริงๆ<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-84662164089483699852010-11-01T06:37:00.000-07:002010-11-01T07:00:40.090-07:00ทัศนศึกษาสิบสองปันนา<a href="http://1.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/TM7EkHcECOI/AAAAAAAABk8/smoujvLcbt0/s1600/DSC02865.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 180px;" src="http://1.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/TM7EkHcECOI/AAAAAAAABk8/smoujvLcbt0/s320/DSC02865.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5534577116836006114" /></a><br /> <br />คณะทัศนศึกษาสิบสองปันนากับ สร.กสย. รวม ๔๕ คน(มี 2 ท่านเป็นพนักงาน ธกส. เดินทางออกจากจังหวัดเชียงใหม่โดยพาหนะส่วนตัว ไปรอสบทบที่อำเภอเชียงของ) ซึ่งประกอบด้วยเจ้าของสวนยาง พนักงาน สกย.พร้อมคู่สมรส เพื่อนพนักงานรัฐวิสาหกิจจาก การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ ธกส. ออกเดินทางโดย รถโค้ชปรับอากาศจาก สกย. บางขุนนนท์ เวลา 6.00 น. ของวันที่ 22 ตุลาคม 2553 สู่ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย แม้จะออกเดินทางแต่เช้าก็ตาม ปรากฎว่ากว่าจะถึงปลายทางก็ปาเข้าไปสามทุ่มพอดี จากนั้น ก็ได้รับประทานอาหารเย็นพร้อมชมการแสดงสล้อ ซอ ซึง ที่ร้านอาหารบ้านแก้ว จึงพากันแยกย้ายไปพักผ่อนเพราะเหนื่อยกับการนั่งรถมาทั้งวัน ตื่นเช้ารับประทานข้าวมันไก่ไหหลำ แล้วเดินทางผ่านด่านเชียงของไปฝั่งบ่อแก้วของประเทศลาวโดยเรือหางยาวผ่านลำน้ำโขงอันเชี่ยวกราก ต่อจากนั้นคณะจึง แยกกันนั่งรถตู้ จำนวน 5 คัน แวะรับประทานอาหารเที่ยงที่เวียงภูคา ช่วงที่เดินทางผ่านถนนเชื่อมไทย-ลาว-จีน (R3a) ซึ่งช่วงนี้การเดินทางจะผ่านโค้งและผิวถนนซ่อมกันเป็นช่วงๆ น้อยคนที่จะไม่มีอาการเมารถ ซึ่งความเป็นมาของถนนสาย R3 หรือที่เรียกกันติดปากว่า ถนน R3a จากเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว - บ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ระยะทาง 250 กิโลเมตร (กม.) ทราบข้อมูลว่า หจก.แพร่ธำรง วิทย์ ได้ร่วมกับบริษัทน้ำทา ก่อสร้าง จำกัด ของนายคำเพิง ทองซะบา กลุ่มผู้รับเหมาท้องถิ่นของสปป.ลาว เข้าประมูลโครงการรับเหมาก่อสร้างเส้นทางช่วงเมืองห้วยทราย - เวียงภูคา แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ระยะ ทาง 84 กม.และเส้นทางในตัวเมืองบ่อแก้ว - ถนนเลี่ยงเมืองอีก 15 กม. มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 1,086 ล้าน บาทซึ่งเป็น 1 ใน 3 ส่วนของถนน R3a ตลอดทั้งสาย ภายใต้การสนับสนุนด้านงบประมาณจากสำนักงานความร่วมมือ พัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.)ขณะที่ถนน R3a ช่วงที่ 2 จาก กม.ที่ 84-260.8 (เวียงภูคา แขวงบ่อแก้ว - บ้าน Nam Lung แขวงหลวงน้ำทา) ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ที่บริษัทนวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างนั้น ส่วนถนนช่วงที่ 3 หรือแพกเกจ C ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลจีน จากบ้าน Nam Lung - บ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา (ชายแดน สปป.ลาว-จีน) หรือจาก กม.160.8 - 228.3 ที่กลุ่มผู้รับเหมาจากจีน เมื่อถนนเส้นนี้เสร็จสมบูรณ์ทั้ง 3 ช่วง จะทำให้การ เดินทางจากเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว (ชายแดนติดกับ อ.เชียงของ จ.เชียงราย - เมืองบ่อเต็น แขวง หลวงน้ำทา ติดกับ Mohan เขตเมืองลา สิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน จีน) ใช้เวลาเดินทางเพียง 5-6 ชั่วโมงเท่านั้น จากเดิมที่ต้องใช้เวลา 1-2 วัน หลังจากถนน R3a เสร็จสมบูรณ์ ในอนาคตก็จะเชื่อมต่อกับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ภายใต้งบประมาณ 1,600 ล้านบาท ที่ไทย-จีน ตกลงที่จะ สนับสนุนฝ่ายละ 50% ซึ่งขณะนี้ได้กำหนดจุดก่อสร้างแล้วโดยฝั่ง สปป.ลาว จะอยู่ที่บริเวณบ้านดอนขี้นก (กม.9) เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ฝั่งไทยจะอยู่บริเวณบ้านดอนมหาวัน ต.ศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ. เชียงราย ห่างจากตัวเมืองเชียงของประมาณ 10 กม.เศษ ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี หากสะพานแห่งนี้แล้วเสร็จ เชื่อมต่อเข้ากับถนน R3a จะทำให้การค้าชาย แดนที่เชียงของ คึกคักขึ้นอย่างมาก เพราะจีนมุ่งที่จะขนส่งสินค้าตามถนนR 3 a อันเป็นถนนเชื่อมคุนหมิง- กรุงเทพ กว่าพวกเราจะเดินทางไปถึงบ่อเต็นก็บ่ายสองกว่าแล้ว ต้องไปรอเช็คชื่อตรวจวีซ่าผ่านด่านโมฮันเข้าจีนอีกชั่วโมงกว่าเพราะเป็นวันหยุดยาวนักท่องเที่ยวมากจริงๆ เราไปถึงจิงหง ประมาณ ทุ่มหนึ่งพอดี รับประทานอาหารเย็นแล้วเข้าพักที่โรงแรมไทการ์เดนท์ ซึ่งใช้เวลาเดินทางออกจากกลางเมืองราว 2 กิโลเมตร<br /><br /><br />มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับการขนานนามว่า "ดินแดนแห่งความลี้ลับ" เพราะเป็นแหล่งรวมความงามทางธรรมชาติ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร ตลอดจนเรื่องเล่าที่เต็มไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์<br />ทางใต้สุดของมณฑล เป็นที่ตั้งของเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา หรือสิบสองพันนา (ภาษาจีนออกเสียง ฉีฉ่วงบั่นนา) มีอาณาเขตติดต่อกับรัฐฉาน ประเทศพม่า เดียนเบียนฟู ของเวียดนาม และแขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว ถัดจากลาวลงมาก็คือประเทศไทยความสำคัญของสิบสองปันนาด้านหนึ่งคือเป็นเขตปกครองตนเองของชาวไทลื้อหรือไตลื้อไทลื้อแห่งสิบสองปันนา มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเชียงรุ่ง (จีนเรียก จิ่งหง) เมืองนี้แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านคือ แม่น้ำหลานชาง หรือแม่น้ำล้านช้าง ซึ่งก็คือแม่น้ำโขงนั่นเอง<br /> หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ระบุว่า ชาวไทลื้อดำรงความเป็นชนชาติมานานกว่า 2,000 ปี แต่อาณาจักรใหญ่ของพวกเขาสถาปนาขึ้นช่วงก่อนหน้าอาณาจักรสุโขทัยเมื่อประมาณ 800 ปี พงศาวดารกล่าวว่า "ขุนเจือง" หรือพญาเจื่อง คือพระเจ้าแผ่นดินของไทลื้อพระองค์แรก เถลิงพระนามเป็นสมเด็จพระเจ้าหอคำรุ่งเรืองที่ 1 ทรงรวบรวมไทลื้อกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยให้เป็นปึกแผ่น มีศูนย์กลางอาณาจักรอยู่ที่เมืองเชียงรุ่ง มีนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา ศิลปวัฒนธรรมของตัวเอง ประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นต่อจีนแต่ด้วยความที่ เป็นแคว้นเล็ก อาณาจักรเชียงรุ่งจึงมักถูกรุกรานและยึดครองจากอาณาจักรอื่นรอบด้าน ทั้งจีน พม่า และล้านนา ก่อนจะถูกผนวกเป็นของอาณาจักรจีนเมื่อพ.ศ.1835ชื่อเรียก สิบสองปันนา หรือ สิบสองพันนา มีที่มาจากช่วงที่พม่าเข้ายึดครอง และแบ่งดินแดนออกเป็น 12 เมือง เพื่อสะดวกต่อการเรียกเก็บภาษีอากร 12 หัวเมืองของสิบสองปันนา ได้แก่ เมืองฮาย ม้าง หุน แจ้ ฮิง ลวง อิงู ลา พง อู่ เมืองอ่อง และเชียงรุ่ง แต่ละเมืองครอบครอง 1 พันนา (หรือที่นา 1 พันผืน) จึงเรียกขานว่าเมืองสิบสองปันนาตั้งแต่นั้น คำว่าเชียงรุ่ง แปลความหมายได้ว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณ มาจากเรื่องราวในพุทธตำนานของชาวไทลื้อ เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ยังดินแดนริมฝั่งแม่น้ำโขงของชาวไท ลื้อ เป็นเวลารุ่งเช้าพอดี ชาวไทลื้อจึงเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า "เชียงรุ่ง" หรือตามสำเนียงไทลื้อว่า "เจียงฮุ่ง"<br /><br /> <br /><br />ศูนย์วิจัยสมุนไพรแห่งชาติสิบสองปันนา<br /> <br />เดินชมสวนสมุนไพรก่อนที่ศูนย์จะเปิดเพราะมาเช้าเกินไป<br /><br /><br /><br /><br /><br /> <br /> อาซิ่มหั่นเบาๆ กระดาษก็ขาด เฮ้ย สับเหล็กหมดแรงแล้วไม่มีรอยมีดแหว่งสัดนิดเลย<br /> หมู่บ้านมีดเมืองลื้อ(จิ้งฟ้า) ซึ่งหมู่บ้านนี้ในอดีตเคยตีมีดถวายฮ่องเต้ แต่ปัจจุปันได้นำมาแสดงโชว์การใช้มีดและคุณสมบัติของมีดอันโดดเด่นทั้งหั่นทั้งสับที่แตกต่างจากมีดทั่วๆไป <br /><br /> <br /> พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปในมุมต่างๆ<br /> <br />มองจากวัดหลวงเมืองลื้อเห็นตัวเมืองเชียงรุ่ง ถ่ายรูปกันก่อนผ่านช่องเก็บบัตรผ่านประตูเข้าชมวัด<br /><br /><br /><br /> <br /><br />วัดหลวงเมืองลื้อ สิบสองปันนา ซึ่งบริษัทพัฒนาการท่องเที่ยวหยวนห้าว จำกัด สิบสองปันนา ยูนนาน ได้ทุ่มเงินลงทุนเองถึง 350 ล้านหยวน เพื่อสร้างวัดนิกายหินยานหรือเถรวาท และพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุดในแถบนี้ มาตั้งแต่ปี 2548 สืบเนื่องจากตระหนักดีว่าศาสนาพุทธนิกายเถรวาทมีประวัติอันยาวนานในสิบสองปันนาพอๆ กับในแถบเอเชียอาคเนย์ เช่นไทย ลาว กัมพูชา พม่า การสร้างวัดหลวงเมืองลื้อ แบ่งการสร้างออกเป้นหลายเฟส สถานที่แห่งนี้นอกจากจะเป็นที่แสดงวัฒนธรรมทางด้านศาสนาและวัฒนธรรมพื้นเมืองที่ตกทอดมาช้านานแล้ว ยังจะเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยศาสนาพุทธสิบสองปันนา เพื่อใช้เป็นที่ศึกษาวิจัยศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และท้ายสุด จะเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมศาสนาพุทธนิกายเถรวาท อีกทั้งยังเป็นสถานที่ชาวไต หรือไทลื้อในแถบเอเชียอาคเนย์ได้สืบค้นเรื่องราวบรรพบุรุษของตัวเองได้ นอกเหนือจากที่สามารถสืบค้นจาก "ชุมนุมพระคัมภีร์อักษรธรรมใบลาน" ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ใบลานของนิกายเถรวาทที่มีอยู่อย่างแพร่หลายตามวัดวาอารามในสิบสองปันนา ที่ได้รับการรวบรวมชำระขึ้นเป็นครั้งแรกและเป็นครั้งที่ครบถ้วนที่สุด แล้วพิมพ์เป็นอักษรไทลื้อเก่า ไทลื้อใหม่ ภาษาจีนและภาษาอังกฤษ รวม 6 ภาคแต่ที่แน่ๆ ก็คือ เชื่อว่าวัดหลวงเมืองลื้อจะเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อของสิบสองปันนาในอนาคต ไม่ใช่สำหรับชาวพุทธนิกายเถรวาทเพียงอย่างเดียว อันเนื่องจากวัดนี้ได้สร้างอย่างสวยงามบนเนื้อที่หลายพันไร่ริมเชิงเขา โดยผสมผสานศิลปะพุทธทั้งหินยาน มหายาน และทิเบต รอบๆ วัดจะมีท้าวจตุรบาลแบบจีนยืนตระหง่านอยู่สุดเชิงบันไดนาค ตรงกลางของที่พักช่วงแรกเป็นที่สถิตของพระพรหมสี่หน้าองค์ทองอร่าม ถัดขึ้นไปพระพุทธรูปปางประสูติ ซึ่งเป็นรูปปั้นเด็กมีเพียงผ้าคลุมกายพองาม ประทับยืนชี้นิ้วชี้ขึ้นฟ้าและลงดิน เหมือนกับเป็นปริศนาธรรมให้ขบคิด ในส่วนของตัวโบสถ์ได้สร้างด้วยศิลปะผสมผสานกันระหว่างไทลื้อ พม่า ลาว แถมยังมีลวดลายคล้ายลายประจำยามและลายขนดแบบของไทยสอดแทรกอยู่ ภายในเป็นจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่เล่าเรื่องพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติเรื่อยไปจนถึงปรินิพพาน หลังจากชมวัดเสร็จแล้งก็ลงมาชมการแสดงของชาวพื้นเมือง มีการสาดน้ำสงกรานต์ให้ดูด้วย จากนั้นก่อนขึ้นรถบัสกลับ ทางคณะก็ได้เข้าชมเครื่องประดับจากคริสตัล<br /><br /><br /> <br /> ต่อด้วยการเที่ยวชมสวนม่านทิง ห่างจากตัวเมืองเชียงรุ่งประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นสวนโบราณของพระราชวังกษัตริย์ในอดีต มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,300 ปี ถูกทิ้งร้างมานาน ก่อนได้รับการฟื้นฟูเมื่อปี พ.ศ.2523<br /> <br />เครื่องใช้ในครัวเรือนของเผ่าอาข่า<br /> เมื่อเข้ามาในสวนสิ่งแรกที่สะดุดตาคือ รูปปั้นทองสำริดเต็มตัวสูง 3.2 เมตร ของ นายโจวเอินไหล อดีตนายกรัฐมนตรีจีน ในชุดพื้นเมืองชนชาติไต เพื่อเป็นที่ระลึกในการที่ท่านเข้าร่วมงานเทศกาลสงกรานต์ของชนชาติไตที่สวนสาธารณะแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ.2504 นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีท่านนี้ยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท แนวชายแดนของสิบสองปันนากับรัฐฉานของประเทศพม่าด้วย ด้านซ้ายของ รูปปั้นมีต้นไทร 2 ต้น ที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงปลูกเอาไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์อันดีของไทยและจีน ที่สวนแห่งนี้ยังมีลานแสดงช้าง นกยูง และยังมีวัดพุทธศาสนาอยู่ติดกับสวน มีกลุ่มเจดีย์ขาว 9 ยอดตามแบบฉบับสิบสองปันนาให้ชม ที่นี่ยังถือเป็นศูนย์กลางการเพาะพันธุ์นกยูงของสิบสองปันนาอีกด้วย ในสวนมีนกยูงมากกว่า 2,000 ตัว<br /><br /><br /> สำหรับการโชว์เมืองพาราณสี เป็นการนำเสนอถึงพระพุทธศาสนาที่เดินทางเข้ามาถึงเมืองสิบสองปันนา การแสดงงานประเพณีสงกรานต์ และการโชว์ถึงวัฒนธรรมชนเผ่าต่างๆมากมาย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมืองสิบสองปันนา ดูสวยงามและอลังการครับ สำหรับราคาค่าเข้าชม 120 - 160 หยวน หากใครไปถึงเมืองเชียงรุ่งแล้วไม่ได้ดูชุดแสดงเมืองพาราณสีแล้ว คงบอกได้คำเดียวว่ามาไม่ถึงเมืองสิบสองปันนาครับ... ก่อนที่จะเข้าไปชมภายในโรงละคร ก็มีการแสดงเรียกน้ำย่อยที่หน้าโรงกันก่อน มีการแสดงวัฒนธรรมประเพณีและวีถีชีวิตของชนเผ่าต่างๆ สาวๆนักแสดงก็แต่งชุดเอวลอย โชว์สะดือกันเต็มที่<br /> <br /> ปัจจุบันจีนปลูกยางพารา ในมณฑลยูนนาน โดยเฉพาะที่แคว้นสิบสองปันนามีถึงประมาณ 6.9 ล้านมู่สอบถามเจ้าของสวนยางที่นี่บอกว่า 1 มู่ปลูกยางได้ 30 ต้น(ข้อมูลจากนายปรีชา เพชรมาลาอดีตรอง ผอ.สกย.ระบุว่า 2.5 มู่เท่ากับ 1 ไร่ ) และกรีดได้แล้วราว 2.36 ล้านมู่ ตลอดสองข้างทางตั้งแต่เราเดินทางผ่านด่านโมฮันจนถึงเมืองเชียงรุ่งหรือสิบสองปันนา ลอดอุโมงค์ถึง 32 แห่ง และที่ยาวสุดประมารเกือบ 4 กิโลเมตรแต่เพื่อการประหยัดจีนจะไม่ค่อยเปิดไฟในอุโมงค์<br /> <br /> น้องมุก นักศึกษาฝึกงานสาขาการท่องเที่ยว และอ้ายแก้ว เป็นไกด์ดูแลคณะแนะนำตลอดการเดินทางในจีน<br />เมื่อมองทัศนียภาพทั้งสองฝากฝั่งถนนสวยงามมาก เต็มไปด้วยขุนเขาใหญ่น้อย ภูเขาทุกลูกถูกเนรมิตรเป็นสวนยางพาราแม้กระทั่งบนยอดเขาสูงลิบๆ จะมองเห็นแนวต้นยางสูงชะลูดอยู่ทั่วทุกหนแห่งและจะปลูกบนพื้นที่สูงชันและมีการขุดขั้นบันไดเรียบร้อย โดยรัฐบาลจะให้แบ่งพื้นที่ปลูกยางกันเองตามจำนวนครอบครัวในแต่ละหมู่บ้านจะแบ่งกันได้ครอบครัวละ 600 ต้น ในแถบหมูบ้านจะปลูกอยู่ติด ๆ กับสวนกล้วยในไร่นา หรือแม้กระทั่งรอบ ๆ บ้านของชาวนา แทนที่ต้นไผ่ กลายเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงลักษณะเฉพาะของภูมิทัศน์ท้องถิ่นที่นี่ การกรีดยางจะใช้มีดเก๊าท์ ใช้ระบบกรีดครึ่งลำต้นวันเว้นวัน และมีการจำหน่ายเป็นน้ำยางสดตอน 10.00 น. ในแต่ละวัน ตรงจุดรับซื้อในหมู่บ้านจะมีการแบ่งกรีดวันละครึ่งสวนทำให้กรีดยางได้ทุกวัน มีรายได้วันละประมาณ 400 -500 หยวนต่อครอบครัว เพื่อให้บริษัทที่รับซื้อจะนำไปผลิตยางแท่งต่อไป <br /><br />๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕<br /> <br /> <br /> มีดกรีดยางในสิบสองปันนา คุยแลกเปลี่ยนความรู้ในการทำสวนยางกับชาวไทลื้อ ที่เมืองหล้า<br />และขณะนี้บริษัทเอกชนในจีนยังมีการสนับสนุนให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ส.ป.ป.ลาว ที่ปลูกขนาบเส้นทางถนนสาย อาร์ 3 เอ ตั้งแต่เมืองห้วยทรายตรงกันข้ามกับ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ในรัศมี 10 กิโลเมตร ของสองฟากถนน จนถึงเมืองบ่อเตน จ.หลวงน้ำทา ติดชายแดนระยะทางกว่า 250 กิโลเมตร ประมาณการว่าลาวปลูกยางพาราถึงหลักล้านไร่ โดยจีนจะเป็นผู้รับซื้อทั้งหมด จีนดีกว่าของไทยในเรื่องการดูแลรักษาต้นยางค่อนข้างมีความเข้มงวด มีระเบียบ มีกฎเกณฑ์ที่จะกรีดยาง เช่น เมื่อไรมีอากาศร้อนเกินไป อากาศหนาวเกินไป เกษตรกรชาวจีนจะหยุดกรีดยางทันที เมื่อมีโรคระบาดรัฐบาลจีนจะเข้ามาดูแลทันที แต่ถ้าในพื้นที่การปลูกไม่น่าห่วง เพราะจีนมีพื้นที่มีจำกัด<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-28177467151452754262010-10-06T03:42:00.000-07:002010-10-06T03:47:03.377-07:00คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8938 - 8992/2552<p style="LINE-HEIGHT: normal; TEXT-INDENT: 36pt; MARGIN: 4.8pt" class="MsoNormal"><span style="FONT-FAMILY: 'Browallia New', 'sans-serif'; FONT-SIZE: 16pt; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'" lang="TH">การที่จำเลยจ่ายค่าครองชีพให้ลูกจ้างมีจำนวนแน่นอนและจ่ายให้เป็นประจำทุกเดือนเช่นเดียวกับเงินเดือนโดยไม่คำนึงว่าลูกจ้างจะหยุดงานหรือไม่เช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าค่าครองชีพเป็นเงินส่วนหนึ่งที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานปกติในวันทำงานของลูกจ้าง ค่าครองชีพจึงเป็นส่วนหนึ่งของ<span style="COLOR: red">ค่าจ้าง</span></span><span style="FONT-FAMILY: 'Browallia New', 'sans-serif'; FONT-SIZE: 16pt; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'"> <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" /><o:p></o:p></span></p><span style="LINE-HEIGHT: 115%; FONT-FAMILY: 'Browallia New', 'sans-serif'; FONT-SIZE: 16pt; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-ansi-language: EN-US; mso-fareast-language: EN-US; mso-bidi-language: TH" lang="TH"> การที่จำเลยกับสหภาพแรงงานเซนจูรี่เท็กซ์ไทล์ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยมีเงื่อนไขมิให้นำค่าครองชีพไปรวมกับ<span style="COLOR: red">ค่าจ้าง</span>เพื่อคิดคำนวณค่าชดเชยและเงินอื่น ๆ ที่คำนวณจาก<span style="COLOR: red">ค่าจ้าง</span>และเงินเดือน จึงเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.</span><span style="LINE-HEIGHT: 115%; FONT-FAMILY: 'Browallia New', 'sans-serif'; FONT-SIZE: 16pt; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-ansi-language: EN-US; mso-fareast-language: EN-US; mso-bidi-language: TH">2541 <span lang="TH">ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันลูกจ้าง</span></span><div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-76648433594905243532010-10-06T03:17:00.000-07:002010-10-06T03:40:24.105-07:00ซีเอสอาร์ คืออะไร<a href="http://2.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/TKxPiI9HIII/AAAAAAAABTg/S45Y744Re04/s1600/DSC02417+%5B640x480%5D.JPG"><span></span><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5524878290814705794" border="0" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/TKxPiI9HIII/AAAAAAAABTg/S45Y744Re04/s320/DSC02417+%5B640x480%5D.JPG" /></a><br /><div><a href="http://2.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/TKxPMJ2zmnI/AAAAAAAABTY/gCA2f00bKSc/s1600/DSC02417+%5B640x480%5D.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5524877913099573874" border="0" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/TKxPMJ2zmnI/AAAAAAAABTY/gCA2f00bKSc/s320/DSC02417+%5B640x480%5D.JPG" /></a><br /><br /><div style="BORDER-BOTTOM: #bfb186 1pt solid; BORDER-LEFT: medium none; PADDING-BOTTOM: 5pt; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-RIGHT: 0cm; BACKGROUND: #fff3db; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none; PADDING-TOP: 0cm; mso-element: para-border-div; mso-border-bottom-alt: solid #BFB186 .75pt"><br /><br /><p style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; PADDING-BOTTOM: 0cm; LINE-HEIGHT: 18pt; MARGIN: 0cm 0cm 0pt; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-RIGHT: 0cm; BACKGROUND: #fff3db; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none; PADDING-TOP: 0cm; mso-border-bottom-alt: solid #BFB186 .75pt; mso-outline-level: 3; mso-padding-alt: 0cm 0cm 5.0pt 0cm" class="MsoNormal"><b><span lang="TH" style="font-family:'Times New Roman';font-size:15;color:#1b0431;"></span></b><b><span style="font-family:'Times New Roman';font-size:15;color:#1b0431;"><?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" /><o:p></o:p></span></b></p></div><br /><br /><p style="LINE-HEIGHT: 18pt; MARGIN: 0cm 0cm 12pt; BACKGROUND: #fff3db" class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family:'Times New Roman';font-size:12;color:#29303b;"><br />ซีเอสอาร์ เป็นคำย่อจากภาษาอังกฤษว่า </span><span style="font-family:'Times New Roman';font-size:12;color:#29303b;">Corporate Social<span lang="TH"> </span>Responsibility (CSR) <span lang="TH">หรือ บรรษัทบริบาล หมายถึง การดำเนินกิจกรรมภายในและภายนอกองค์กร ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมทั้งในระดับใกล้และไกล ด้วยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในองค์กรหรือทรัพยากรจากภายนอกองค์กร ในอันที่จะทำให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข<br /><br />หากพิจารณาแยกเป็นรายคำศัพท์ คำว่า </span><b>Corporate</b><span lang="TH"> มุ่งหมายถึงกิจการที่ดำเนินไปเพื่อแสวงหาผลกำไร ส่วนคำว่า </span><b>Social</b><span lang="TH"> ในที่นี้ มุ่งหมายถึงกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์กันหรือมีวิถีร่วมกันทั้งโดยธรรมชาติหรือโดยเจตนา รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นและสิ่งแวดล้อมที่อยู่รายรอบประกอบ และคำว่า </span><b>Responsibility</b><span lang="TH"> มุ่งหมายถึงการยอมรับทั้งผลที่ไม่ดีและผลที่ดีในกิจการที่ได้ทำลงไปหรือที่อยู่ในความดูแลของกิจการนั้นๆ ตลอดจนการรับภาระหรือเป็นธุระดำเนินการป้องกันและปรับปรุงแก้ไขผลที่ไม่ดี รวมถึงการสร้างสรรค์และบำรุงรักษาผลที่ดีซึ่งส่งกระทบไปยังผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่างๆ<o:p></o:p></span></span></p><br /><br /><a href="http://photos1.blogger.com/blogger/792/1628/1600/def.jpg"><span style="FONT-FAMILY: 'Tahoma', 'sans-serif'; TEXT-DECORATION: none; mso-no-proof: yes; mso-fareast-: nonefont-family:'Times New Roman';font-size:12;color:#473624;" ><?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shapetype id="_x0000_t75" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" stroked="f" coordsize="21600,21600" filled="f" spt="75" preferrelative="t"><v:stroke joinstyle="miter"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"></v:f><v:f eqn="sum @0 1 0"></v:f><v:f eqn="sum 0 0 @1"></v:f><v:f eqn="prod @2 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @0 0 1"></v:f><v:f eqn="prod @6 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="sum @8 21600 0"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @10 21600 0"></v:f></v:formulas><v:path gradientshapeok="t" extrusionok="f" connecttype="rect"></v:path><o:lock aspectratio="t" ext="edit"></o:lock></v:shapetype><p style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 18pt; MARGIN: 0cm 0cm 0pt; BACKGROUND: #fff3db" class="MsoNormal" align="center"><v:shape style="WIDTH: 300pt; HEIGHT: 219.75pt; VISIBILITY: visible" id="Picture_x0020_1" alt="http://photos1.blogger.com/blogger/792/1628/400/def.jpg" type="#_x0000_t75" spid="_x0000_i1025" button="t"><v:imagedata title="def" src="file:///C:\Users\USER\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.jpg"></v:imagedata></v:shape></span></a><span lang="TH" style="font-family:'Times New Roman';font-size:12;color:#29303b;"><br />คำว่า กิจกรรม ในความหมายข้างต้น หมายรวมถึง การคิด การพูด และการกระทำ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ การวางแผน การตัดสินใจ การสื่อสารประชาสัมพันธ์ การบริหารจัดการ และการ</span></p><p style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 18pt; MARGIN: 0cm 0cm 0pt; BACKGROUND: #fff3db" class="MsoNormal" align="center"><span lang="TH" style="font-family:'Times New Roman';font-size:12;color:#29303b;">ดำเนินงานขององค์กร<br /><br />สังคมในความหมายของความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ จะมุ่งไปที่ผู้มีส่วนได้เสียนอกองค์กร ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ ได้แก่ สังคมใกล้</span><span lang="TH" style="font-family:'Times New Roman';font-size:12;color:#29303b;"> และสังคมไกล<br /><br />สังคมใกล้ คือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับองค์กรโดยตรง ได้แก่ ลูกค้า คู่ค้า ครอบครัวของพนักงาน ชุมชนที่องค์กรตั้งอยู่ ซึ่งรวมถึงสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศ<br /><br />สังคมไกล คือ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรโดยอ้อม ได้แก่ คู่แข่งขันทางธุรกิจ ประชาชนทั่วไป เป็นต้น<br /><br />ในระดับของลูกค้า ตัวอย่างซีเอสอาร์ของกิจการ ได้แก่ การสร้างผลิตภัณฑ์ที่เน้นคุณค่ามากกว่ามูลค่า ความรับผิดชอบในผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภค การให้ข้อมูลขององค์กรและตัวผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอและอย่างถูกต้องเที่ยงตรง มีการให้บริการลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา เป็นต้น<br /><br />ในระดับของคู่ค้า ตัวอย่างซีเอสอาร์ของกิจการ ได้แก่ การแบ่งปันหรือการใช้ทรัพยากรร่วมกันหรือการรวมกลุ่มในแนวดิ่งตามสายอุปทาน ความรอบคอบระมัดระวังในการผสานประโยชน์อย่างเป็นธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบต่อคู่ค้า เป็นต้น<br /><br />ในระดับของชุมชนและสภาพแวดล้อม ตัวอย่างซีเอสอาร์ของกิจการ ได้แก่ การสงเคราะห์เกื้อกูลชุมชนที่องค์กรตั้งอยู่ การส่งเสริมแรงงานท้องถิ่นให้มีโอกาสในตำแหน่งงานต่างๆ ในองค์กร การสนับสนุนแนวทางการระแวดระวังในการดำเนินงานที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนที่องค์กรตั้งอยู่ และการเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข เป็นต้น<br /><br />ในระดับของประชาสังคม ตัวอย่างซีเอสอาร์ของกิจการ ได้แก่ การสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มหรือเครือข่ายอื่นๆ ในการพัฒนาสังคม การตรวจตราดูแลมิให้กิจการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน การรับฟังข้อมูลหรือทำประชาพิจารณ์ต่อการดำเนินกิจการที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม และการทำหน้าที่ในการเสียภาษีอากรให้รัฐอย่างตรงไปตรงมา เป็นต้น<br /><br />ในระดับของคู่แข่งขันทางธุรกิจ ตัวอย่างซีเอสอาร์ของกิจการ ได้แก่ การดูแลกิจการมิให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแข่งขันด้วยวิธีการทุ่มตลาด การดำเนินงานในทางต่อต้านการทุจริต รวมทั้งการกรรโชก และการให้สินบนในทุกรูปแบบ เป็นต้น<o:p></o:p></span></p><br /><br /><p style="MARGIN: 0cm 0cm 10pt" class="MsoNormal"><a href="http://thaicsr.blogspot.com/2006/03/blog-post_20.html"><span style="font-family:Calibri;color:#0000ff;">http://thaicsr.blogspot.com/2006/03/blog-post_20.html</span></a></p></div><div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-44164698710856131112010-05-20T06:56:00.001-07:002010-05-20T07:17:26.356-07:00แล้งกระหน่ำยางยืนตายซาก<a href="http://4.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S_VBDIxsS0I/AAAAAAAABKk/OGyvNmt63AM/s1600/ยางตายเลย.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5473352444290026306" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 256px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S_VBDIxsS0I/AAAAAAAABKk/OGyvNmt63AM/s320/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2.jpg" border="0" /></a> <div>ชาวสวนยางอีสานสุดเศร้าวิกฤติภัยแล้งและภาวะอากาศร้อนจัดส่งผลต้นยางยืนตายซากเป็นทิวแถว จังหวัดเลย เสียหายแล้วกว่า 60% นครพนมสวนยางของ "ศุภชัย โพธิ์สุ" รมช.เกษตรตายแล้วนับร้อยต้น กรมวิชาการเกษตรระบุสาเหตุชัดเกิดจากต้นยางขาดน้ำ<br />ภาวะราคายางที่พุ่งสูงขึ้นติดต่อกันตั้งแต่ปี 2551 แม้จะลดลงช่วงต้นปี 2552 เล็กน้อยแต่ล่าสุดได้ปรับสูงขึ้นขณะนี้ทะลุกก.ละ 100 บาท เป็นความหวังของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราแม้บางรายต้นยางจะยังไม่สามารถกรีดน้ำยางได้เพราะอายุเพิ่ง 4-5 ปี แต่พวกเขาหวังว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะสามารถกรีดยางและขายได้ราคาดี แต่ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นปีนี้ทำให้พวกเขาหมดความหวังเพราะอากาศที่แล้งและร้อนจัดทำให้ต้นยางที่ปลูกภายใต้โครงการยางล้านไร่ยืนตายซากเป็นจำนวนมาก<br /></div><br /><div>นายหล้า พรหมมาศ ประธานสหกรณ์สวนยางพาราผาน้อย จำกัด จังหวัดเลย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าจากภาวะความแห้งแล้งและอากาศที่ร้อนจัด ขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในหลายจังหวัด โดยเฉพาะสมาชิกสหกรณ์สวนยางพาราผาน้อย จำกัด ซึ่งมีสมาชิก 500 กว่าราย ส่วนพื้นที่ปลูกยังไม่ได้รวบรวมอย่างเป็นทางการ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นขณะนี้คือต้นยางพารายืนตายซาก เพราะอากาศร้อนจัดและขาดแคลนน้ำ<br />"พื้นที่ปลูกยางของสมาชิกสหกรณ์มีทั้งภายใต้โครงการยางล้านไร่ โครงการส่งเสริมปลูกของจังหวัด รวมถึงพื้นที่ที่สมาชิกปลูกเอง เฉพาะภายใต้โครงการยางล้านไร่มีประมาณ 2,570 ไร่ เวลานี้พื้นที่ปลูกทั้งหมดต้นยางยืนตายซากไปแล้วกว่า 60% ทำให้ชาวสวนยางต้องเดือดร้อนไปตามๆกัน เพราะไม่มีใครป้องกันไว้ล่วงหน้าเนื่องจากไม่คาดคิดว่าจะแห้งแล้งและร้อนจัดขนาดนี้ วันนี้ทุกคนได้แต่นั่งมองตากันปริบๆ จะไปซื้อน้ำมารดคงไม่คุ้มเพราะต้นยางอายุ 4-5 ปียังกรีดน้ำยางไม่ได้ ชาวสวนจึงยังไม่มีรายได้ และความหวังจะขายยางได้ราคาดีอีก 2-3 ปีข้างหน้าคงหมดหวังแล้วเพราะต้นยางตายไปมากแล้ว"นายหล้ากล่าวและว่า<br />ปีนี้นับได้ว่าเป็นปีที่แล้งสุดๆ เกษตรกรที่พอจะมีเงินบ้าง จะไปซื้อน้ำมารดสวนยางยังทำได้ลำบากเพราะน้ำในห้วย หนอง คลองบึงแห้งหมด สวนยางของผมประมาณ 300 ไร่ ต้องไปสูบน้ำระยะทาง 4-5 กิโลเมตรมาฉีดรดต้นยาง แต่เวลานี้ไม่มีน้ำให้สูบขึ้นมารดแล้ว<br />ขณะที่นายชนะวงศ์ สมมุติ ประธานกลุ่มขายยางบ้านโพนงาม จังหวัดเลย กล่าวว่า ปกติแล้วหลังเทศกาลสงกรานต์ชาวสวนยางจะสามารถกรีดน้ำยางได้ แต่เวลานี้ชาวสวนที่มีพื้นที่ปลูกบนที่สูงอากาศร้อนและแล้งกรีดยางไม่ได้เลยเพราะฝนไม่ตก ส่วนสวนยางที่ลุ่มพอกรีดได้บ้างและขายได้ราคาดียางแผ่นดิบกก.ละ 108 บาท ขณะเดียวกันบริเวณบ้านโพนงามมีปัญหาต้นยางยืนตายซากจำนวนมากเหมือนกัน<br /></div><br /><div>ด้านแหล่งข่าวจากสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.)จังหวัดนครพนม กล่าวว่า เกษตรกรผู้ปลูกยางพารา จังหวัดนครพนม ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเช่นเดียวกัน โดยมีพื้นที่ปลูกยางต้นยางขาดแคลนน้ำยืนตายซากจำนวนมาก ในจำนวนนี้มีพื้นที่สวนยางของนายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสบกับต้นยางยืนตายซากเช่นเดียวกัน ซึ่งทางสำนักงานได้ประสานไปยังกรมวิชาการเกษตร ซึ่งมีความรู้ด้านวิชาการมาตรวจสอบสาเหตุต้นยางยืนตายซาก เจ้าหน้าที่ระบุว่าสาเหตุหลักเกิดจากความแห้งแล้งและอากาศที่ร้อนจัด แม้ว่าต้นยางจะเกิดโรคราแป้งแต่ถ้ามีฝนตกลงมาโรคราแป้งจะหายไปได้ แต่เนื่องจากไม่มีฝนตกจึงทำให้ต้นยางตาย </div><br /><div><br />นายวิทย์ ประทักษ์ใจ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) กล่าวว่ามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ประสบภัยแล้ง โดยอำนาจของสกย.จะให้ความช่วยเหลือสำหรับต้นยางที่กรีดแล้ว 1 ปี จึงจะใช้เงินกองทุนสงเคราะห์สวนยางได้ ส่วนยางที่ยังไม่ได้กรีดนั้นอาจต้องใช้งบภัยธรรมชาติของกระทรวงเข้าไปช่วยเหลือ<br />แหล่งข่าวจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2552-26 เมษายน 2553 มีพื้นที่ประสบภัยแล้งรวมทั้งสิ้น 60 จังหวัด หากเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2552 พื้นที่ประสบภัยแล้งมากกว่าโดยปี 2552 ประสบภัยแล้ง 53 จังหวัด และหมู่บ้านประสบภัยแล้งมากกว่าถึง 8,018 หมู่บ้าน พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะได้รับความเสียหาย 584,366 ไร่ แยกเป็นพืชไร่ 377,264 ไร่ นาข้าว 73,897 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 133,205 ไร่ </div><br /><div></div><br /><div><br />จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,526 29 เมษายน - 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553<br /></div><div><strong><span style="font-size:180%;color:#ff0000;">เลยแล้งจัดยางพารายืนต้นตายกว่า 4 หมื่นไร่<br /></span></strong></div><br /><div>นายพรศักดิ์ เจียรณัย ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย นายธนวรรธน์ สวรรยาธิปัติ นายอำเภอเมืองเลย นายจรูญ พาณิช นายก อบต.น้ำสวย และเจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอเมืองเลย ได้เดินทางไปตรวจสภาพปัญหาต้นยางตายจากภัยแล้งในเขตพื้นที่ ต.น้ำสวย อ.เมืองเลย เนื่องจากได้รับการร้องเรียนว่า ขณะนี้สวนยางพาราที่ ต.น้ำสวย ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10,000 กว่าไร่ ประสบภัยแล้งตายไปแล้ว 1,000 กว่าไร่ หรือคิดเป็น 10% ของพื้นที่การปลูกยางของ ต.น้ำสวย ส่วนในเขตพื้นที่ อ.เมืองเลยเสียหายร่วม 2 หมื่นไร่<br /></div><div>โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ได้ไปที่แปลงยางพาราของ นายสด ถานาจร อายุ 81 ปี อยู่บ้านเลขที่ 74 หมู่ 10 ต.น้ำสวย ซึ่งพื้นที่ที่ปลูกยางพารา 20 กว่าไร่ แต่ได้รับความเสียหายแทบทั้งหมด โดยนายสด กล่าวว่า ต้นยางพาราของตนนั้นปลูกได้ 7 ปี และเริ่มกรีดในปีนี้เพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ ธกส.ที่กู้ยืมมาทำ แต่มาประสบกับภัยแล้ง ฝนไม่ตกเลย ทำให้ต้นยางยืนต้นตายดังที่เห็น ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปใช้หนี้ ธกส.<br />"ส่วนที่เห็นต้นยางถูกตัด เนื่องจากได้รับการแนะนำจากทางเจ้าหน้าที่เกษตรในการแก้ปัญหาเพื่อให้ออกยอด ใหม่ แต่ก็ไม่ได้ผลเพราะฝนไม่ตกเลย และต้นยางตายไปเรื่อย รวมทั้งของชาวบ้านไร่ข้างเคียงด้วย"<br />ด้านนายพรศักดิ์ กล่าวว่า ยางพาราที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งจากผลกระทบฝนไม่ตกที่ได้รับรายงานทั้ง จังหวัดในขณะนี้ประมาณ 40,000 กว่าไร่ และที่ไม่ตายก็ไม่สามารถกรีดยางได้ ถ้าฝนไม่ตกต้นยางก็จะตายเพิ่ม การช่วยเหลือเบื้องต้นทางจังหวัดได้ประสานกับทาง อบต.ทำการจัดซื้อพันธุ์ยางพาราแจกจ่ายช่วยเหลือเกษตรกรที่ต้นยางตาย เป็นการช่วยเหลือในเบื้องต้น และไห้ทางเกษตรเร่งทำการสำรวจความเสียหาย เพื่อรายงานให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการช่วยเหลือเป็นการด่วนต่อไป<br /><br />แหล่งข่าวอ้างอิง www.pinonlines.com/node/1150 เมื่อ 22 เมษายน, 2010 - 20:57 </div><div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-34550544148628119532010-05-09T07:49:00.000-07:002010-05-10T07:57:44.143-07:00อากาศร้อนจัด แล้งยาว ยางอีสานตายเพียบต้องทบทวนแนวทางในการส่งเสริมการปลูกยางในภาคอีสานให้รัดกุม<a href="http://3.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S-bX-zcjcvI/AAAAAAAABDY/YX7xeyOvvr8/s1600/DSC00360+[320x200].JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5469296271449879282" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S-bX-zcjcvI/AAAAAAAABDY/YX7xeyOvvr8/s200/DSC00360+%5B320x200%5D.JPG" border="0" /></a><br /><br /><div><br /><br /><br /><div><a href="http://1.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S-bXwPUASRI/AAAAAAAABDQ/tPCvam1g97M/s1600/DSC00358+[320x200].JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5469296021232175378" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" alt="" src="http://1.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S-bXwPUASRI/AAAAAAAABDQ/tPCvam1g97M/s200/DSC00358+%5B320x200%5D.JPG" border="0" /></a><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5469292769860857778" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 150px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S-bUy_ArL7I/AAAAAAAABDI/7NJirNiIh78/s200/DSC00348+%5B320x200%5D.JPG" border="0" /> เริ่มจากตายยอดและยืนต้นตายในที่สุด<br /><div><div><div><br /><br /><div>โดยปกติแล้วคำแนะนำการปลูกยางพารา แนะนำให้ปลูกในพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำไม่ควรน้อยกว่า 1,400 มิลลิเมตร/ปี และจำนวนฝนตกประมาณ 120-150 วัน/ปี ซึ่งถือเป็นปริมาณของฝนที่เหมาะสมต่อการปลูกยางพารา หากมีปริมาณน้ำฝนในระดับต่ำ จะมีผลกระทบต่อการปลูกสร้างสวนยางในช่วงปีแรก ทำให้อัตราการรอดตายต่ำ ต้นยางเกิดแผลไหม้เนื่องจากแสงแดด การเจริญเติบโตช้า ให้ผลผลิตน้อย และอาจมีการระบาดของโรคราแป้งและโรคใบจุดนูน ดังนั้นควรเลือกปลูกในช่วงเวลาที่เหมาะสม และดูแลรักษาอย่างดี ดังนั้น หากปลูกยางในที่ที่มีปริมาณน้ำดังกล่าวข้างต้น ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีการให้น้ำแต่หากเกิดสภาพแห้งแล้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยางปลูกใหม่และยางที่มีอายุ 1-3 ปี แสดงอาการขาดน้ำ เช่น เหี่ยวเฉา หากเจ้าของสวนยังสามารถให้น้ำได้ก็เป็นการดีกับต้นยางที่ช่วยประคับประคองให้ผ่านช่วงแล้งไปได้ ลดการปลูกซ่อมในฤดูต่อไป หากไม่สามารถให้น้ำได้ ก็แนะนำให้ใช้เศษพืชมาคลุมโคนต้นยาง ตั้งแต่ปลายฤดูฝน เพื่อช่วยรักษาความชื้นในดินให้ยาวนาน </div><br /><br /><br /><a href="http://4.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S-bLk6kIOqI/AAAAAAAABCo/nI8EQoM906s/s1600/DSC00354+[320x200].JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5469282632544565922" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 150px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S-bLk6kIOqI/AAAAAAAABCo/nI8EQoM906s/s200/DSC00354+%5B320x200%5D.JPG" border="0" /></a><br /><br /><br /><br /><div></div><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div>สวนยางอายุ ๕ ปีที่ห้วยยายจิ๋ว อ.เทพสถิต ต้องตัดต้นทิ้งจำนวนมาก</div><br /><div> แต่ในช่วงที่ฤดูแล้งยาวนานในปี ๒๕๕๓ นี้ ทุกภาคส่วนของประเทศไทยร้อนตับแตก อุณหภูมิสูงขึ้นถึง ๔๒ องศาเซลเซียส มาพร้อมกับกระแสการรณรงค์ลดปัญหาโลกร้อนเกิดขึ้นทั่วโลก สิ่งที่สำคัญที่เราต้องย้อนกลับไปคิดคือยางพาราเป็นพืชที่ก่อกำเนิดจากแถบอเมริกาใต้ และจะเจริญเติบโตได้ดีบริเวณแถบเส้นศูนย์สูตร ที่เส้นละติจูดไม่เกิน ๑๐ องศาลิบดา เหนือและใต้เท่านั้น แต่ความต้องการมนุษย์ย่อมไม่มีขีดจำกัดจึงนำไปปลูกในเขตที่สูง และไม่ใช่เขตร้อนชื้นที่ต้นยางพาราได้กำเนิดมา ทำให้นึกถึงประกาศกระทรวงเกษตรฯ ฉบับที่ ๘ ที่ห้ามมิให้ปลูกยางพาราในเขต ๖จังหวัดในภาคอีสานกล่าวคือ ชัยภูมิ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม นครราชสีมา และอำเภออะไรอีกอำเภอหนึ่งจำไม่ได้แล้ว เริ่มแสดงมนต์ขลังออกมาเมื่อยางพาราอายุได้ ๕-๖ ปี ของโครงการล้านไร่และที่เกษตรกรปลูกเองเริ่มแสดงอาการแห้งที่ปลายใบยอดๆ เหมือนน้ำร้อนลวก ใบอ่อนเหี่ยวจนสลัดใบทิ้งหมดเป็นการทิ้งใบรอบสองนอกจากการผลัดใบตามปกติ เริ่มตายจากยอดลงมา(die back) เมื่อขาดน้ำมากขึ้นก็ตายลงรุกลามมาสู่กิ่งล่าง ตามโคนต้นเริ่มมีน้ำยางไหลและแตกเป็นปล้อง นั้นหมายถึงว่าถึงขั้นรุนแรงไม่สามารถเยียวยาได้แล้ว ก็จะยืนต้นตาย ก่งงอเข้าหาลำต้นเหมือนกับถูกไฟไหม้ในที่สุด วิธีการแก้ก็ให้อ่านข้อแนะนำของอาจารย์อารักษ์ จันทุมาดังต่อไปนี้ครับ </div><br /><br /><br /><div></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5469291191865817522" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S-bTXIhVubI/AAAAAAAABCw/j6nc6Y2bQy8/s200/DSC00366+%5B320x200%5D.JPG" border="0" /> สวนที่เกษตรกรปลูกเองอายุ ๖ ปียืนต้นตายเกือบหมดแปลงที่อ.เทพสถิต<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div><span style="font-size:180%;color:#000099;">สวนยางในสภาพดินทราย</span> </div><br /><div>ดินทราย เป็นลักษณะของดินไม่อุ้มน้ำ ไม่สามารถเก็บความชื้นไว้ได้ เมื่ออากาศแห้งแล้งจัดเป็นเวลานานติดต่อกัน ทำให้ดินบริเวณรอบๆ รากต้นยางขาดน้ำ เป็นสาเหตุทำให้ต้นยางตายจากยอดได้ โดยใบอ่อนจะเริ่มเหี่ยวและแห้งจากปลายกิ่งหรือปลายยอด ลุกลามลงมาหาส่วนโคนทีละน้อย และแห้งตายตลอดต้น เปลือกล่อนออกจากเนื้อไม้ มีเชื้อราสีดำหรือสีขาวเกิดขึ้นบริเวณเปลือกด้านใน ดินทรายเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ การจัดการสวนยางในดินทราย จึงควรปรับปรุงดินโดยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เพื่อช่วยให้โครงสร้างของดินดีขึ้น มีความร่วนซุย สามารถอุ้มน้ำและรักษาความชื้นในดินได้ดี ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เกษตรกรควรผลิตเองจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และหาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น ฟางข้าว เศษใบไม้ กิ่งไม้ เศษพืช มูลสัตว์ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อย่างคุ้มค่า ต้องทิ้งให้ย่อยสลายโดยสมบูรณ์เสียก่อน แล้วจึงนำมาใส่บริเวณทรงพุ่มของใบยางเช่นเดียวกับการใส่ปุ๋ยเคมี ในอัตรา 2-3 กิโลกรัม ต่อต้นต่อปี ถ้าต้นยางยังเล็ก ให้ใส่รอบต้นหรือเป็นแถบ 2 ข้างลำต้น ถ้ายางเปิดกรีดแล้ว ให้ใส่ระหว่างแถว โดยคลุกเคล้ากับดินก่อนใส่ปุ๋ยเคมี ประมาณ 15-20 วัน เพื่อปรับสภาพดินต้นยางที่ตายจากยอด และอาการค่อยๆ ลุกลามลงมาที่โคนต้นทีละน้อย แก้ไขโดยตัดส่วนที่แห้งทิ้ง โดยตัดต่ำลงมาถึงส่วนที่ยังเขียวอยู่ แต่ถ้าอาการตายจากยอดยังลุกลามอยู่ จำเป็นต้องตัดหลายๆ ครั้ง โดยทยอยตัดต่ำลงมาเรื่อยๆ แล้วทาบาดแผลที่ตัดด้วยสีน้ำมัน เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ พร้อมกับแก้ไขสาเหตุที่ทำให้ต้นยางตายจากยอดให้มีสภาพดีขึ้น เช่น รดน้ำ พรวนดินรอบโคนต้นยางกรณีหน้าดินจับตัวเป็นแผ่นแข็ง เป็นสาเหตุทำให้น้ำซึมลงลำบาก (แต่หากต้นยางอายุมากกว่า 3 ปี ไม่ควรพรวนดินรอบโคนต้น เพราะกระทบกระเทือนระบบราก ทำให้ชะงักการเจริญเติบโต) ใส่ปุ๋ยคอกเพื่อช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีขึ้น เพิ่มอินทรียวัตถุ ทำให้ดินโปร่ง มีการระบายน้ำดีและใช้วัสดุคลุมดินรอบโคนต้น การดูแลรักษาสวนยางก่อนเข้าฤดูแล้ง จะช่วยป้องกันการเกิดอาการตายจากยอดได้ เฉพาะอย่างยิ่ง ต้นยางในช่วง 2 ปีแรกหลังจากปลูก โดยใช้เศษพืชคลุมดินรอบโคนต้น ซึ่งจะช่วยเก็บรักษาความชื้นในดินไว้ได้ในช่วงฤดูแล้ง และทาปูนขาวหรือสีน้ำมันบริเวณโคนต้นเพื่อป้องกันลำต้นไหม้จากแสงแดด <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5469292306541145314" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 150px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S-bUYBApbOI/AAAAAAAABDA/1xglOgQdIow/s200/DSC00354+%5B320x200%5D.JPG" border="0" /></div>ตัดต้นแล้วเริ่มแตกกิ่งขนาดเล็กออกมา<br /><br /><br /><br /><br /><div>สรุปแลวตามความคิดของข้าพเจ้า ใครปลูกยางในที่เก็บน้ำไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ลูกรัง ดินทรายจัด หรือเป็นดินดานอยู่ใต้ดินระดับ ๑ เมตร จะต้องสร้างระบบนิเวศน์ให้เหมาะกับถิ่นกำเนิดเดิมของยางพารามากที่สุด คือมีความชื้นและสามารถมีน้ำหล่อเลี้ยงในฤดูแล้งอย่างเพียงพอเท่านั้น คงหนีไม่พ้น การปลูกพืชคลุมดินและเดินระบบน้ำหยดควบคู่กันไปด้วย นอกจากนั้นต้องมีการปลูกพืชแซมเช่นกล้วยและสัปปะรดเพื่อรักษาหน้าดิน และควรเว้นไม้ป่าไว้บ้างเพื่อสร้างสมดุลเรื่องความร่มรื่นและป้องกันลมแรงที่ทำให้ต้นยางโค่นล้มหรือกิ่งหัก เป็นความโชคร้ายที่การตายจากขาดน้ำมาเกิดกับต้นยางที่อายุเกือบเปิดกรีดได้แล้วกลับมาตายอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น สูญเสียเงินทุน แรงกายและแรงใจมากมายจริงๆ ไม่เฉพาะยางพาราดูขนาดผู้ปลูกชะอมปลอดสารพิษที่บ้านโพธิ์รังนกที่ปลูกส่งประเทศญี่ปุ่นวันละ ๒๐๐ กิโลกรัม เมื่อคลองชลประทานไม่มีน้ำชะอมยืนต้นตายต้องถูกปรับที่ส่งชะอมส่งออกไม่ได้ถึง ๒๐๐ บาทต่อกิโลกรัม หนักเอาการเหมือนกัน</div><br /><br /><br /><div></div><a href="http://3.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S-bYjlwgVpI/AAAAAAAABDg/ZuRdtODajus/s1600/DSC00372+[320x200].JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5469296903430624914" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S-bYjlwgVpI/AAAAAAAABDg/ZuRdtODajus/s200/DSC00372+%5B320x200%5D.JPG" border="0" /></a><br /><br />สภาพที่ต้นยางตายทั้งแถวซึ่งขนาดลำต้น ๔๗ เซนติเมตรแล้ว<br /><br /><br /><br /><br /><div>อ้างอิงที่มา : ขอขอบคุณคำแนะนำจากอาจารย์อารักษ์ จันทุมา ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา สถาบันวิจัยยาง<br /></div><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div></div></div></div></div></div></div><div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-32891913509710863442010-05-09T07:36:00.000-07:002010-05-10T08:00:03.363-07:00การจัดการสวนยางที่ปลูกในพื้นที่ไม่เหมาะสมจากการเปิดเผยของ คุณสุขุม วงษ์เอก ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ว่า ยางพาราที่ปลูกในสภาพพื้นที่ไม่เหมาะสม เช่น พื้นที่ราบลุ่ม พื้นที่นา ดินทราย ดินลูกรัง หน้าดินตื้น ดินปลวก จะมีผลทำให้ต้นยางเจริญเติบโตช้า ไม่ต้านทานโรคและให้ผลผลิตต่ำ และยังอาจมีผลกระทบตามมาจากภัยธรรมชาติได้อีกด้วย ดังนั้น ในการตัดสินใจปลูกยาง เกษตรกรควรพิจารณาหลักเกณฑ์สำหรับปลูกยางพาราให้เหมาะสม ได้แก่ การเลือกพื้นที่ปลูก พันธุ์ยางที่เหมาะสมกับพื้นที่และมีการจัดการสวนยางที่ถูกต้องเพื่อช่วยให้ต้นยางสมบูรณ์ แข็งแรง สามารถทนต่อสภาวะที่เกิดขึ้นจากความแห้งแล้งและภัยธรรมชาติอื่นๆ ได้ แต่หากเกษตรกรได้ปลูกยางในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมไปแล้ว ก็มีความจำเป็นต้องมีการจัดการสวนยางที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้ต้นยางรอดตายได้ในระดับหนึ่ง แต่เกษตรกรต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น คุณอารักษ์ จันทุมา นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ได้ให้แนวทางในการจัดการสวนยางเพื่อแก้ไขปัญหาสำหรับเกษตรกรที่ปลูกยางในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ดังนี้<br /><br /><span style="font-size:130%;color:#6600cc;"><strong>สวนยางในสภาพพื้นที่ราบลุ่ม พื้นที่นา น้ำท่วมขัง และพื้นที่นาดอนพื้นที่ราบลุ่ม หรือพื้นที่นา</strong></span><br /><br /><strong><span style="font-size:130%;color:#6600cc;"> </span></strong> เป็นพื้นที่ที่มีระดับน้ำใต้ดินสูงหรือระดับน้ำใต้ดินอยู่ใกล้ผิวดิน น้ำจะซึมผ่านลงไปได้ยาก ทำให้เกิดการไหลบ่า หรือการขังน้ำผิวหน้าดิน พื้นที่เหล่านี้มีการระบายน้ำไม่ดี สภาพน้ำท่วมขังทำให้รากยางขาดก๊าซออกซิเจน ส่งผลกระทบต่อต้นยาง ทำให้ลำต้นแคระแกร็น โคนต้นโต แตกพุ่มเตี้ย และใบเหลืองซีดคล้ายๆ อาการขาดธาตุไนโตรเจน บางครั้งอาจพบปลายยอดแห้งตาย การจัดการสวนยางที่ปลูกในที่ลุ่ม แนะนำให้ทำทางระบายน้ำออกจากแปลงให้พ้นระดับรากของต้นยาง หรือไถยกร่อง อย่างไรก็ตาม การยกร่องจะช่วยให้ต้นยางเจริญเติบโตในช่วง 3-4 ปีแรก แต่หลังจากนั้นต้นยางจะชะงักการเจริญเติบโต การจัดการสวนยางในสภาพพื้นที่ดังกล่าวนี้ แม้ช่วยให้ต้นยางรอดตาย แต่ก็แคระแกร็น เจริญเติบโตช้าและให้ผลผลิตต่ำ ส่วนพื้นที่นาดอน เป็นพื้นที่ระบายน้ำไม่ดี จำเป็นต้องระบายน้ำออกจากแปลงยางในช่วงที่ฝนตกชุก หรือมีน้ำขัง แต่พื้นที่นาดอนบางแห่งสามารถปลูกยางได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับน้ำใต้ดิน โดยสามารถสังเกตสีของดิน หากเป็นพื้นที่ที่มีการระบายน้ำดี สีของดินจะมีลักษณะสม่ำเสมอ มีสีพื้นเป็นสีเดียวกันตลอดความลึก เช่น มีสีแดง สีเหลืองปนแดง หรือสีน้ำตาลปนเหลือง ต้นยางสามารถเจริญเติบโตได้ดี แต่หากเป็นพื้นที่ระบายน้ำเลว น้ำที่ขังอยู่ตามช่องว่างของดินจะเกิดจุดสีประ ทำให้ดินมี 2 สี โดยสีหนึ่งปรากฏเป็นจุดกระจายอยู่บนสีพื้นอีกสีหนึ่ง มองเห็นชัดเจน เช่น จุดประสีเหลือง สีเทา หรือสังเกตได้จากพืชที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติในที่มีการระบายน้ำเลว เช่น ต้นกก หญ้าลิเภา แห้วหมู หรือลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มถึงลูกคลื่นลอนลาด มีความลาดชันเล็กน้อย และมีระดับน้ำใต้ดินตื้น ซึ่งเป็นลักษณะพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกยางสวนยาง<br /><br /><span style="font-size:130%;color:#6600cc;">ในสภาพดินทราย ดินทราย เป็นลักษณะของดินไม่อุ้มน้ำ </span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#6600cc;"> </span>ไม่สามารถเก็บความชื้นไว้ได้ เมื่ออากาศแห้งแล้งจัดเป็นเวลานานติดต่อกัน ทำให้ดินบริเวณรอบๆ รากต้นยางขาดน้ำ เป็นสาเหตุทำให้ต้นยางตายจากยอดได้ โดยใบอ่อนจะเริ่มเหี่ยวและแห้งจากปลายกิ่งหรือปลายยอด ลุกลามลงมาหาส่วนโคนทีละน้อย และแห้งตายตลอดต้น เปลือกล่อนออกจากเนื้อไม้ มีเชื้อราสีดำหรือสีขาวเกิดขึ้นบริเวณเปลือกด้านใน ดินทรายเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ การจัดการสวนยางในดินทราย จึงควรปรับปรุงดินโดยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เพื่อช่วยให้โครงสร้างของดินดีขึ้น มีความร่วนซุย สามารถอุ้มน้ำและรักษาความชื้นในดินได้ดี ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เกษตรกรควรผลิตเองจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และหาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น ฟางข้าว เศษใบไม้ กิ่งไม้ เศษพืช มูลสัตว์ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อย่างคุ้มค่า ต้องทิ้งให้ย่อยสลายโดยสมบูรณ์เสียก่อน แล้วจึงนำมาใส่บริเวณทรงพุ่มของใบยางเช่นเดียวกับการใส่ปุ๋ยเคมี ในอัตรา 2-3 กิโลกรัม ต่อต้นต่อปี ถ้าต้นยางยังเล็ก ให้ใส่รอบต้นหรือเป็นแถบ 2 ข้างลำต้น ถ้ายางเปิดกรีดแล้ว ให้ใส่ระหว่างแถว โดยคลุกเคล้ากับดินก่อนใส่ปุ๋ยเคมี ประมาณ 15-20 วัน เพื่อปรับสภาพดินต้นยางที่ตายจากยอด และอาการค่อยๆ ลุกลามลงมาที่โคนต้นทีละน้อย แก้ไขโดยตัดส่วนที่แห้งทิ้ง โดยตัดต่ำลงมาถึงส่วนที่ยังเขียวอยู่ แต่ถ้าอาการตายจากยอดยังลุกลามอยู่ จำเป็นต้องตัดหลายๆ ครั้ง โดยทยอยตัดต่ำลงมาเรื่อยๆ แล้วทาบาดแผลที่ตัดด้วยสีน้ำมัน เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ พร้อมกับแก้ไขสาเหตุที่ทำให้ต้นยางตายจากยอดให้มีสภาพดีขึ้น เช่น รดน้ำ พรวนดินรอบโคนต้นยางกรณีหน้าดินจับตัวเป็นแผ่นแข็ง เป็นสาเหตุทำให้น้ำซึมลงลำบาก (แต่หากต้นยางอายุมากกว่า 3 ปี ไม่ควรพรวนดินรอบโคนต้น เพราะกระทบกระเทือนระบบราก ทำให้ชะงักการเจริญเติบโต) ใส่ปุ๋ยคอกเพื่อช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีขึ้น เพิ่มอินทรียวัตถุ ทำให้ดินโปร่ง มีการระบายน้ำดีและใช้วัสดุคลุมดินรอบโคนต้น การดูแลรักษาสวนยางก่อนเข้าฤดูแล้ง จะช่วยป้องกันการเกิดอาการตายจากยอดได้ เฉพาะอย่างยิ่ง ต้นยางในช่วง 2 ปีแรกหลังจากปลูก โดยใช้เศษพืชคลุมดินรอบโคนต้น ซึ่งจะช่วยเก็บรักษาความชื้นในดินไว้ได้ในช่วงฤดูแล้ง และทาปูนขาวหรือสีน้ำมันบริเวณโคนต้นเพื่อป้องกันลำต้นไหม้จากแสงแดด<br /><br /><span style="color:#6600cc;"><span style="font-size:130%;">สวนยางในสภาพดินลูกรัง และหน้าดินตื้น</span></span><br /><br /> ดินลูกรังในประเทศไทยเป็นดินที่มีปัญหาในการทำเกษตรกรรมชนิดหนึ่ง เนื่องจากเป็นดินตื้น มีชั้นลูกรังหรือเศษหินกรวดเกิดขึ้นเป็นชั้นหนาและแน่น จนเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตของพืช และพบในความลึก 50 เซนติเมตร จากผิวดิน เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ไม่อุ้มน้ำ การระบายน้ำไม่ดี มีการชะล้างพังทลายของดินสูง และเกิดการกัดกร่อนผิวหน้าดินในบริเวณที่มีความลาดชันสูง กล่าวโดยทั่วไป ดินลูกรังและดินตื้น เป็นดินที่มีศักยภาพในการเกษตรต่ำ เพราะภายใต้ชั้นลูกรังลงไปมักเป็นชั้นดินเหนียว เป็นอุปสรรคต่อการเจริญของรากพืช ต้นยางที่ปลูกในดินลักษณะเช่นนี้ จะพบว่าในช่วง 1-3 ปีแรก เจริญเติบโตดี หลังจากนั้น ต้นยางจะชะงักการเจริญเติบโต ขอบใบแห้งและตายในฤดูแล้ง เพราะต้นยางไม่สามารถใช้น้ำในระดับรากแขนงได้ และหากช่วงแล้งยาวนาน จะมีผลทำให้ต้นยางตายจากยอด การแก้ไขเบื้องต้นคือ การตัดยอดเพื่อให้ต้นยางแตกกิ่งขึ้นมาใหม่ ซึ่งช่วยให้ต้นยางไม่ตาย แต่ก็ไม่ค่อยโต ควรใช้ประโยชน์ของดินลูกรังในการปลูกพืชไร่หรือพืชรากตื้นชนิดอื่นจะดีกว่า เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวไร่ ถั่วชนิดต่างๆ โดยต้องมีหน้าดินหนาประมาณ 20 เซนติเมตร ขึ้นไป มีการระบายน้ำดีหรือดีปานกลาง ไม่มีน้ำท่วมขังในฤดูฝน หรือทำเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ทำนา ปลูกไม้ยืนต้นประเภทไม้โตเร็วบางชนิดกรณีชั้นลูกรังไม่จับกันแน่นนัก เพื่อเป็นพื้นที่ป่าหรือใช้ประโยชน์ เป็นการอนุรักษ์ดินและน้ำ เช่น ยูคาลิปตัส มะม่วง มะม่วงหิมพานต์ มะขาม น้อยหน่า มะขามเทศ นุ่น สะเดา ขี้เหล็กบ้าน แต่ต้องปรับปรุงหลุมปลูกด้วยหน้าดินร่วมกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อย่างไรก็ดี ดินลูกรังที่พบในบริเวณที่มีฝนตกมากกว่า 1,600 มิลลิเมตร ต่อปี เช่น ในแหล่งปลูกยางเดิมทางภาคใต้และภาคตะวันออก สามารถปลูกยางได้ดี ส่วนดินลูกรังที่พบในบริเวณที่มีฝนตกมากกว่า 1,400 มิลลิเมตร ต่อปี สามารถปลูกยางได้ โดยเฉพาะพื้นที่ทางด้านเหนือ และด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (กรมพัฒนาที่ดิน, 2550)<br /><br /><span style="color:#cc0000;"><span style="font-size:130%;">สวนยางในสภาพดินปลวกดินปลวก</span></span><br /><br /> เป็นดินที่มีเนื้อดินเป็นดินเหนียวเกาะยึดกันเองและเกาะยึดกับสารอื่นได้ดีมาก จึงไม่ร่วนซุย แต่เหนียวเหนอะหนะและพองตัวเมื่อเปียก แต่เมื่อแห้งเนื้อดินจับกันเป็นก้อนแข็งแกร่ง การระบายน้ำเป็นไปได้ช้า และรากยางชอนไชเพื่อดูดน้ำและธาตุอาหารได้ยาก ประกอบกับดินจับตัวเป็นก้อน เมื่ออยู่ในสภาพแห้งแล้งอาจเป็นสาเหตุทำให้รากยางขาด โดยเฉพาะรากฝอย ทำให้ต้นยางอ่อนแอ ชะงักการเจริญเติบโตและตายได้ ขณะนี้ยังไม่มีวิธีแก้ไขต้นยางที่ปลูกในดินปลวกให้เจริญเติบโตได้แม้มีความพยายามแก้ไข และปรับหลุมปลูกให้กว้าง ยาว และลึกมากขึ้น แล้วปรับปรุงดินในหลุมปลูกด้วยหน้าดินร่วมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักแล้วก็ตาม แต่ต้นยางที่เพิ่งปลูกก็ยังตายเช่นเดิมอย่างไรก็ตาม การมีปลวกสร้างรังบริเวณโคนต้น ก็ทำความเสียหายแก่ต้นยางได้ ซึ่งพบทั้งปลวกที่กินไม้แห้งและต้นยางสด แม้ปลวกบางชนิดจะไม่กินต้นยางสด แต่การสร้างรังบริเวณโคนต้น ก็ทำให้ดินเป็นโพรง เมื่อมีลมพัดทำให้ต้นยางโค่นล้มเสียหายได้ จึงควรป้องกันกำจัดด้วยสารเคมีที่เป็นของเหลวราดรอบๆ โคนต้นที่พบปลวกและต้นข้างเคียง ต้นละ 1-2 ลิตร โดยขุดดินเป็นร่องแคบๆ รอบโคนต้น เพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีซึมขยายออกทางด้านข้างมากเกินไป ได้แก่ คาร์โบซัลแฟน(carbosulfan) 20%EC เช่น พอสซ์ อัตรา 40-80 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือฟิโปรนิล (fipronil) 5% SC เช่น แอสเซ็นต์ อัตรา 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร คุณสุขุม กล่าวในตอนท้ายว่า ก่อนที่เกษตรกรจะตัดสินใจปลูกยาง ควรสำรวจสภาพพื้นที่และสภาพดินเสียก่อนว่า มีความเหมาะสมหรือไม่ ตลอดจนตรวจสอบสภาพภูมิอากาศ ซึ่งควรมีปริมาณน้ำฝนไม่น้อยกว่า 1,250 มิลลิเมตร ต่อปี และมีจำนวนวันฝนตก 120-150 วัน ต่อปี ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นยาง เพราะหากปลูกยางไปแล้วและมาแก้ไขปัญหาในภายหลัง ย่อมต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น อันเป็นการเพิ่มต้นทุน เพราะบางปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ บางปัญหาสามารถแก้ไขได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นการเสียเวลาและอาจไม่คุ้มค่า ดังนั้น เกษตรกรจึงควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจปลูกยาง โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอคำแนะนำ หรือขอรับเอกสารคำแนะนำต่างๆ ได้ที่ สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร โทร. (02) 579-1576 หรือศูนย์วิจัยยาง และสำนักงานตลาดกลางยางพารา กรมวิชาการเกษตรจังหวัดต่างๆ ได้แก่ หนองคาย บุรีรัมย์ ฉะเชิงเทรา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสงขลา ทั้งนี้ เพื่อเกษตรกรของเราสามารถปลูกยางให้เจริญเติบโตได้ดี ประสบผลสำเร็จ และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นพลังหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญรุดหน้าต่อไป<br /><br /><br />อ้างอิงที่มา : นายสุขุม วงษ์เอก,สถาบันวิจัยาง<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-56936993543758926712010-05-09T07:30:00.001-07:002010-05-10T08:05:21.339-07:00ปัญหาการปลูกยางในพื้นที่ไม่เหมาะสม<a href="http://4.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S-bIQr9lVgI/AAAAAAAABCM/fEA9QFXLtPE/s1600/DSC00347+[320x200].JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5469278986492532226" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 150px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/_w-vZ8P1j9xs/S-bIQr9lVgI/AAAAAAAABCM/fEA9QFXLtPE/s200/DSC00347+%5B320x200%5D.JPG" border="0" /></a><br /><div> วันนี้ขอนำข่าวเรื่องปัญหาการปลูกยางพาราในพื้นที่ไม่เหมาะสมจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์มาเล่าสูกันฟังเพื่อจะได้นำไปบอกเล่าแก้ผู้ปลูกยางพาราทั่วประเทศได้ปรับตัวทันกับสภาวะโลกร้อนด้วย<br /> นางนุชนารถ กังพิศดาร นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง เปิดเผยว่า ยางพาราที่ปลูกในพื้นที่ไม่เหมาะสม เช่น พื้นที่ลุ่มนาข้าว พื้นที่มีหน้าดินตื้น พื้นที่มีระดับน้ำใต้ดินสูงหรือระดับน้ำใต้ดินอยู่ใกล้ผิวดิน พื้นที่มีชั้นดินดาน หรือดินที่มีชั้นกรวดอัดแน่น มีแผ่นหินแข็งระดับลึกจากผิวดินประมาณ 1 เมตร จะเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตของต้นยางหลังจากปีที่ 3 ทำให้ชะงักการเติบโต ขอบใบแห้ง ตายจากยอดและยืนต้นตายในช่วงฤดูแล้ง เนื่องจากรากแขนงไม่สามารถชอนไชดูดน้ำในฤดูแล้งได้<br /> ดังนั้น เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงปลูกในพื้นที่เหล่านี้ โดยปลูกพืชล้มลุกหรือพืชที่มีระดับตากตื้นจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากต้นยางเป็นพืชที่ต้องการหน้าดินลึก และระบายน้ำได้ดี ส่วนต้นยางที่ปลูกในพื้นที่ลุ่มหรือพื้นที่นาเดิม ซึ่งเป็นพื้นที่มีระดับน้ำใต้ดินอยู่ใกล้ผิวดิน ทำให้รากถูกจำกัดไม่สามารถเติบโตได้เต็มที่ ในระยะ 1-3 ปีอาจเห็นว่าต้นยางเติบโตดี เนื่องจากระดับใต้ดินอยู่ตื้น ทำให้ต้นยางได้รับความชื้น แต่เมื่อโตขึ้นระบบรากถูกจำกัดและสภาพดินขาดออกซิเจน ทำให้ชะงักการเติบโต เปิดกรีดได้ช้า ต้นยางที่ปลูกในพื้นที่เหล่านี้จำเป็นต้องระบายน้ำออกจากพื้นที่ โดยไถพูนโคนเพื่อทำให้ระหว่างแถวเป็นร่องระบายน้ำได้ดี หรือขุดคูระบายน้ำให้ลึกกว่าระดับน้ำใต้ดิน จึงจะสามารถระบายน้ำได้ แต่ก็เพิ่มต้นทุนในการจัดการ<br /> จากการสำรวจพื้นที่สวนยางเกษตรกร โดยศูนย์วิจัยยางหนองคาย ที่ อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู ที่ประสบปัญหาต้นยางอายุ 2 ปี ใบเหลือง แคระแกร็น ในช่วงฤดูแล้งดินแห้งแข็ง และออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม โดยดอกมีลักษณะเป็นกระจุกคล้ายช่อดอกสะเดา พบว่าเป็นสวนยางที่ปลูกโดยไม่ยกร่องเพื่อระบายน้ำ เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนทำให้น้ำท่วมขังเป็นเวลานาน ส่งผลให้ใบเหลืองและแคระแกร็น กรณีการออกดอกในช่วงดังกล่าวถือว่านอกฤดู ที่เป็นกระจุกเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้ง เมื่อเข้าฤดูฝนได้รับการใส่ปุ๋ยลักษณะดังกล่าวก็จะหายไป<br />น อกจากนี้ยังพบปัญหาการปลูกยางในพื้นที่นาเดิมที่ จ.พัทลุง ซึ่งไม่เหมาะสมเพราะระดับใต้ดินอยู่ใกล้ผิวดินมาก โดยเฉพาะนาลุ่มที่มีระดับน้ำใต้ดินสูงกว่า 50 ซม. ส่วนพื้นที่นาดอนระดับน้ำใต้ดินสูงประมาณ 50 ซม. ขณะที่ยางพาราหากให้ระดับน้ำพอเหมาะไม่ควรน้อยกว่า 1 เมตร จึงพบว่ายางที่ปลูกในพื้นที่นาดอนส่วนใหญ่จะยืนต้นตายเมื่ออายุไม่เกิน 7-10 ปี และพื้นที่นาลุ่มเมื่ออายุ 2-5 ปี ขึ้นอยู่กับการระบายน้ำออกจากสวนยาง<br />นางนุชนารถกล่าวว่า ปัญหาการปลูกยางในพื้นที่ไม่เหมาะสมดังกล่าว หากไม่ได้รับการแก้ไขจะสูญเสียทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ผู้เกี่ยวข้องจึงควรแนะนำเกษตรกรขุดคูระบายน้ำออกจากแปลงให้ลึกว่าระดับน้ำใต้ดิน และใส่ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อปรับโครงสร้างของดินในร่วนซุย ก็จะช่วยให้ต้นยางรอดตายได้ หากเกษตรกรสนใจในรายละเอียดต่างๆ ขอคำแนะนำได้ที่ สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร โทร 0-2579-1576 ต่อ 501, 522, 523 ศูนย์วิจัยยางหนองคาย 0-4242-1396, ฉะเชิงเทรา 0-3813-6225-6 สุราษฎร์ธานี 0-7727-0425-7, สงขลา 0-7421-2401-5. </div><div> </div><div><br />ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อังคารที่ 8 ธันวาคม 2552 00:00:00 น. http://www.ryt9.com/s/tpd/853542 </div><div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3885969670526358656.post-45457587444655219912009-11-14T19:58:00.000-08:002009-11-17T20:51:51.278-08:00พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543<span style="font-size:180%;color:#000099;">สาระที่เน้นตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543<br /></span><br />กฎหมายแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับมาตรฐานสิทธิประโยชน์และความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหาร และลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจเป็นกฎหมายที่กำหนดสิทธิในการร่วมเจรจาต่อรองตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการยื่นข้อเรียกร้อง<br />เพื่อการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง การระงับ ข้อพิพาทแรงงาน การจัด ตั้งสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ<br />เพื่อแสวงหา และคุ้มครองประโยชน์เกี่ยวกับการจ้างให้รัฐวิสาหกิจ<br />การกำหนดให้มีคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์<br />ซึ่งเป็นคณะกรรมการไตรภาคีที่จะกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ การกำหนดให้มีคณะกรรมการ กิจการสัมพันธ์ในรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ซึ่งเป็นคณะกรรมการทวิภาคีเพื่อการปรึกษาหารือให้เกิดความเข้าใจซึ่งกัน และกันและหาทางปรองดองให้การทำงานของฝ่ายบริหารและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจเกิดสันติสุข ดูหน้าที่คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ องค์ประกอบของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ของสกย.ฝ่ายลูกจ้าง ๗ คน(ที่สร.กสย.ส่ง) นายจ้าง๗ คน นางสาวสุพัตรา ธนเสรีวัฒน์(รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ) ก.ส.ย. เป็นประธาน ข้อตกลงสภาพการจ้างต้องเจรจากันภายในกี่วัน ตกลงกันได้ประกาศในกี่วัน<span style="color:#ff0000;">(เน้นสีแดง)</span> ดูประกอบประกาศมาตรฐานการจ้างขั้นต่ำ ๒๙ พค ๒๕๔๙ เพวเวอร์พอยท์ที่แนบมา<br /><br /><br />พระราชบัญญัติ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543<br />--------------------------------------------------------------------------------<br />ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.<br />ให้ไว้ ณ วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2543<br />เป็นปีที่ 55 ในรัชกาลปัจจุบัน<br />พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า<br />โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์<br />จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้<br />มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543"<br />มาตรา 2* พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป<br />*[รก.2543/31ก/1/7 เมษายน 2543]<br />มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534<br />มาตรา 4 พระราชบัญญัตินี้เป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดเสรีภาพในเคหสถาน และ การจำกัดเสรีภาพในการรวมกันเป็น สมาคม สหภาพ สหพันธ์สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน หรือหมู่คณะอื่น ซึ่งตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 35และมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย<br />มาตรา 5 พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา<br />ให้รัฐวิสาหกิจทั้งหลายอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ไม่ว่ากฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจนั้นหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องจะกำหนดไว้เช่นใดก็ตาม เว้นแต่รัฐวิสาหกิจที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่ง<br />มาตรา 6 ในพระราชบัญญัตินี้<br />"รัฐวิสาหกิจ" หมายความว่า<br />(1) องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาลหรือกิจการของรัฐตามกฎหมายที่จัดตั้งกิจการนั้น และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของ<br />(2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่กระทรวง ทบวง กรม หรือทบวงการเมืองที่มีฐานะเทียบเท่า หรือรัฐวิสาหกิจตาม (1) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้าสิบ<br />"ลูกจ้าง" หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้าง<br />"นายจ้าง" หมายความว่า รัฐวิสาหกิจซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้ และให้หมายความรวมถึงผู้มีอำนาจกระทำการแทนรัฐวิสาหกิจ หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้ที่มีอำนาจกระทำการแทนรัฐวิสาหกิจด้วย<br /><span style="color:#000099;">"</span><span style="color:#cc0000;">ฝ่ายบริหาร" หมายความว่า ลูกจ้างระดับผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจในการจ้างเลิกจ้าง ขึ้นค่าจ้าง ตัดค่าจ้าง หรือลดค่าจ้าง<br />"สภาพการจ้าง" หมายความว่า หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ้างหรือการทำงานกำหนดวันและเวลาทำงาน ค่าจ้าง สวัสดิการ การเลิกจ้าง หรือประโยชน์อื่นของนายจ้าง หรือลูกจ้าง อันเกี่ยวกับการจ้าง หรือการทำงาน<br /></span>"ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง" หมายความว่า ข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับสหภาพแรงงานตามพระราชบัญญัตินี้<br />"ข้อพิพาทแรงงาน" หมายความว่า ข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับสภาพการจ้าง<br />"ปิดงาน" หมายความว่า การที่นายจ้างปฏิเสธไม่ยอมให้ลูกจ้างทำงานชั่วคราวเนื่องจากข้อพิพาทแรงงาน<br />"นัดหยุดงาน" หมายความว่า การที่ลูกจ้างร่วมกันไม่ทำงาน เฉื่อยงานหรือถ่วงงานเพื่อให้การดำเนินงานบางส่วน หรือทั้งหมดของรัฐวิสาหกิจต้องหยุดชะงักหรือช้าลง<br />"สหภาพแรงงาน" หมายความว่า สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้<br />"สหพันธ์แรงงาน" หมายความว่า สหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้<br />"คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์<br />"นายทะเบียน" หมายความว่า อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย<br />"พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้<br />"พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้<br />"รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้ซึ่งรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้<br />มาตรา 7 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานและพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้การแต่งตั้งตามวรรคหนึ่งให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br />หมวด 1<br />คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์<br /><span style="color:#ff0000;">มาตรา 8 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์" ประกอบด้วย รัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการโดยตำแหน่งและกรรมการอื่นซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากฝ่ายนายจ้างห้าคนและฝ่ายลูกจ้างห้าคน และให้อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นกรรมการและ เลขานุการ<br />ฝ่ายนายจ้างตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า ผู้ว่าการ ผู้อำนวยการ กรรมการผู้จัดการหรือบุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่คล้ายคลึงกันแต่เรียกชื่ออย่างอื่นในรัฐวิสาหกิจ<br />ฝ่ายลูกจ้างตามวรรคหนึ่ง ให้แต่งตั้งจากผู้ซึ่งได้รับการเลือกตั้งในระหว่างประธานสหภาพแรงงานด้วยกัน<br />การเลือกตั้งให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br /></span>มาตรา 9 กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปีกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่ง อาจได้รับแต่งตั้งอีกได้<br />มาตรา 10 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 9 กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ<br />(1) ตาย<br />(2) ลาออก<br />(3) รัฐมนตรีให้ออกเพราะมีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือมีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้<br />(4) พ้นจากการเป็นนายจ้างหรือพ้นจากการเป็นประธานสหภาพแรงงานแล้วแต่กรณี<br />(5) เป็นบุคคลล้มละลาย<br />(6) เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ หรือ<br />(7) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ<br />ในกรณีที่กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างและให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน<br />การแต่งตั้งกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างก่อนครบวาระของกรรมการฝ่ายลูกจ้างให้แต่งตั้งจากประธานสหภาพแรงงาน ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งที่อยู่ลำดับถัดไปของการเลือกตั้งคราวที่กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระได้รับเลือกตั้ง<br />มาตรา 11 ในกรณีที่กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งดำรงตำแหน่งครบตามวาระแล้วแต่ยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อน จนกว่ากรรมการที่ได้รับแต่งตั้งใหม่จะเข้ารับหน้าที่<br /><span style="color:#ff0000;">มาตรา 12 การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด และต้องมีกรรมการฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างอย่างน้อยฝ่ายละหนึ่งคน จึงเป็นองค์ประชุม<br />ในการประชุมคราวใด ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม<br /></span>มติที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนนถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด<br />ในการประชุมคราวใด ถ้าไม่ได้องค์ประชุมตามที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งให้จัดให้มีการประชุมอีกครั้งหนึ่งภายในสิบห้าวันนับตั้งแต่วันที่นัดประชุมครั้งแรก การประชุมครั้งหลังนี้แม้จะไม่มีกรรมการฝ่ายนายจ้างหรือฝ่ายลูกจ้างมาประชุม ถ้ามีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด ก็ให้ถือเป็นองค์ประชุม<br /><span style="color:#ff0000;">มาตรา 13 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้<br />(1) กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง<br />(2) เสนอคณะรัฐมนตรีกำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสำหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดำเนินการเองได้<br />(3) พิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามวรรคสาม และมาตรา 28<br />(4) พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานตามมาตรา 31<br />(5) แต่งตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลเพื่อดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานก่อนมีคำวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา 31 วรรคห้า<br />(6) พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา 38<br />(7) พิจารณาวินิจฉัยและออกคำสั่งตามมาตรา 39<br /></span>(8) เสนอความเห็นและให้คำแนะนำแก่รัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย<br />(9) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย<br />มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างตาม (1) เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจทุกแห่ง<br />ในกรณีที่รัฐวิสาหกิจใด เห็นสมควรปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินที่อยู่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ตามมาตรา 13 (2) จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการและคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินการได้<br />มาตรา 14 คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกินห้าคน เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการเพื่อให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นในเรื่องที่คณะกรรมการมอบหมาย<br />มาตรา 15 คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมาย<br />มาตรา 16 ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ให้คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการมอบหมายมีอำนาจดังต่อไปนี้<br />(1) เข้าไปในสถานที่ทำงานของนายจ้าง สถานที่ที่ลูกจ้างทำงานอยู่หรือสำนักงานของนายจ้าง สหภาพแรงงาน หรือสหพันธ์แรงงาน ในระหว่างเวลาทำการเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงหรือตรวจสอบเอกสารได้ตามความจำเป็น<br />(2) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคล ซึ่งเกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือให้ส่งสิ่งของหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องมาเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย<br />ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวก ชี้แจงข้อเท็จจริง ตอบหนังสือสอบถามหรือส่งสิ่งของหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องแก่คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง<br />มาตรา 17 คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการจะมีหนังสือเชิญผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวข้องก็ได้<br />มาตรา 18 ให้มีสำนักงานคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ในกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้<br />(1) ปฏิบัติงานธุรการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้<br />(2) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการมอบหมาย<br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br />หมวด 2<br /><span style="color:#ff0000;">คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์<br />มาตรา 19 ให้มีคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ขึ้นในรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งประกอบด้วย กรรมการของรัฐวิสาหกิจนั้นคนหนึ่งซึ่งคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจแห่งนั้นกำหนดเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนฝ่ายนายจ้างซึ่งรัฐวิสาหกิจแห่งนั้น แต่งตั้งจากฝ่ายบริหารของรัฐวิสาหกิจนั้น ตามจำนวนที่รัฐวิสาหกิจกำหนด ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินเก้าคน และผู้แทนฝ่ายลูกจ้างซึ่งแต่งตั้งจากสมาชิกของสหภาพแรงงาน ในรัฐวิสาหกิจนั้นตามที่สห ภาพแรงงานเสนอ มีจำนวนเท่ากับจำนวนผู้แทนฝ่ายนายจ้างเป็นกรรมการ<br />ในกรณีที่ไม่มีสหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจใดหรือในระหว่างที่สหภาพแรงงานต้องเลิกไปตามมาตรา 65 ให้รัฐวิสาหกิจนั้นจัดให้ลูกจ้างที่มิใช่ฝ่ายบริหารเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายลูกจ้างจำนวนเท่ากับจำนวนผู้แทนฝ่ายนายจ้างเข้าร่วมเป็นกรรมการ<br />ให้ลูกจ้างซึ่งได้รับเลือกตั้งตามวรรคสองอยู่ในตำแหน่งกรรมการจนกว่าจะสามารถเลือกตั้งผู้แทนของสหภาพแรงงานตามวรรคหนึ่งได้<br />มาตรา 20 กรรมการกิจการสัมพันธ์มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปีกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้<br /></span>มาตรา 21 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 20 กรรมการกิจการสัมพันธ์พ้นจากตำแหน่งเมื่อ<br />(1) ตาย<br />(2) ลาออก<br />(3) เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ<br />(4) พ้นจากการเป็นฝ่ายบริหารหรือเมื่อรัฐวิสาหกิจเห็นควรให้มีการเปลี่ยนผู้แทนใหม่ สำหรับกรณีของผู้แทนฝ่ายนายจ้าง<br />(5) พ้นจากการเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานหรือเมื่อสหภาพแรงงานเห็นควรให้มีการเปลี่ยนผู้แทนใหม่หรือพ้นจากการเป็นลูกจ้าง สำหรับกรณีของผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง<br />(6) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษในกรณีที่กรรมการกิจการสัมพันธ์พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้มีการแต่งตั้ง กรรมการกิจการสัมพันธ์แทนตำแหน่งที่ว่าง และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน<br />มาตรา 22 ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์จัดให้มีการประชุมอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง และให้นำความในมาตรา 12 มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์โดยอนุโลม<br />ในกรณีที่กรรมการกิจการสัมพันธ์ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามร้องขอ ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์จัดให้มีการประชุมภายในสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ<br />มาตรา 23 ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้<br />(1) พิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาการแรงงานสัมพันธ์<br />(2) หาทางปรองดองและระงับข้อขัดแย้งในรัฐวิสาหกิจนั้น<br />(3) พิจารณาปรับปรุงระเบียบข้อบังคับในการทำงาน อันจะเป็นประโยชน์ต่อนายจ้าง ลูกจ้างและรัฐวิสาหกิจนั้น<br />(4) ปรึกษาหารือเพื่อแก้ปัญหาตามคำร้องทุกข์ของลูกจ้างหรือสหภาพแรงงานรวมถึงการร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับการลงโทษทางวินัย<br />(5) ปรึกษาหารือเพื่อพิจารณาปรับปรุงสภาพการจ้าง<br />มาตรา 24 ให้นายจ้างอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการกิจการสัมพันธ์หรืองดเว้นการกระทำใด ๆ อันเป็นผลให้กรรมการกิจการสัมพันธ์ไม่สามารถทำงานตามอำนาจหน้าที่ต่อไปได้<br />นายจ้างจะเลิกจ้าง ลดค่าจ้าง หรือตัดค่าจ้าง กรรมการกิจการสัมพันธ์ได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานก่อน เว้นแต่กรรมการกิจการสัมพันธ์ผู้นั้นจะให้ความยินยอมเป็นหนังสือ หรือเป็นการเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุ<br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br />หมวด 3<br /><span style="color:#cc0000;">ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน<br />มาตรา 25 ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้มีระยะเวลาใช้บังคับตามที่นายจ้างและสหภาพแรงงานได้ตกลงกัน แต่จะตกลงกันให้มีผลใช้บังคับเกินกว่าสามปีไม่ได้ถ้ามิได้กำหนดระยะเวลาไว้ ให้ถือว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับหนึ่งปีนับแต่วันที่นายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกันหรือนับแต่วันที่นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานแล้วแต่กรณี<br />ในกรณีที่ระยะเวลาที่กำหนดตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างสิ้นสุดลงถ้ามิได้มีการเจรจาตกลงกันใหม่ ให้ถือว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นมีผลใช้บังคับต่อไปอีกคราวละหนึ่งปี<br /></span><span style="color:#000099;">การเรียกร้องให้มีการกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หรือการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง นายจ้างหรือสหภาพแรงงานต้องยื่นข้อเรียกร้องเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบและให้ฝ่ายที่ยื่นข้อเรียกร้องส่งสำเนาข้อเรียกร้องให้นายทะเบียนทราบโดยมิชักช้า<br />ให้ฝ่ายยื่นข้อเรียกร้องระบุชื่อผู้ซึ่งมีอำนาจทำการแทนเป็นผู้แทนในการเจรจาซึ่งต้องมีจำนวนไม่เกินเจ็ดคน<br />ผู้แทนในการเจรจาฝ่ายนายจ้างต้องแต่งตั้งจากฝ่ายบริหารของรัฐวิสาหกิจนั้น และผู้แทนในการเจรจา ฝ่ายสหภาพแรงงานต้องแต่งตั้งจากกรรมการหรือสมาชิกสหภาพแรงงานนั้น<br />มาตรา 26 เมื่อได้รับข้อเรียกร้องแล้ว ให้ฝ่ายที่รับข้อเรียกร้องแจ้งชื่อผู้แทนในการเจรจาจำนวนไม่เกินเจ็ดคนเป็นหนังสือให้ฝ่ายที่ยื่นข้อเรียกร้องทราบโดยมิชักช้าและให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มเจรจากันภายในห้าวันนับแต่วันที่ได้รับข้อเรียกร้อง<br />นายจ้างหรือสหภาพแรงงานจะแต่งตั้งที่ปรึกษาเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้แทนของตนก็ได้แต่ต้องมีจำนวนฝ่ายละไม่เกินสองคน<br /></span><span style="color:#000099;">มาตรา 27 ถ้านายจ้างกับสหภาพแรงงานสามารถตกลงเกี่ยวกับข้อเรียกร้องได้แล้วให้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้แทนในการเจรจาของนายจ้างและสหภาพแรงงาน ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้แทนฝ่ายตนและให้นายจ้างประกาศข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยเปิดเผยไว้ ณ สถานที่ที่ลูกจ้างทำงานอยู่เป็นเวลาอย่างน้อยสามสิบวัน โดยเริ่มประกาศภายในสามวันนับแต่วันที่ได้ตกลงกัน<br />ให้นายจ้างนำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามวรรคหนึ่งไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ตกลงกัน<br /></span><span style="color:#ff0000;">มาตรา 28 ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินที่อยู่นอกเหนือจากที่กำหนดตามมาตรา 13 (2) นายจ้างจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการและคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินการได้<br />มาตรา 29 ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลผูกพันนายจ้างและลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน<br />ห้ามมิให้นายจ้างทำสัญญาจ้างแรงงานกับลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เว้นแต่สัญญาจ้างแรงงานนั้นจะเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่า<br /></span>มาตรา 30 ในกรณีที่ไม่มีการเจรจากันภายในกำหนดตามมาตรา 26 หรือมีการเจรจากันแล้วแต่ตกลงกันไม่ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้ถือว่าได้มีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้น และให้ฝ่ายยื่นข้อเรียกร้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทราบภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมงนับแต่เวลาที่พ้นกำหนดหรือนับแต่เวลาที่ตกลงกันไม่ได้แล้วแต่กรณี<br />มาตรา 31 เมื่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้รับแจ้งตามมาตรา 30 แล้วให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานดำเนินการประนอมข้อพิพาทภายในกำหนดสิบวันนับแต่วันที่พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้รับหนังสือแจ้ง<br />ถ้าได้มีการตกลงกันภายในระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้นำมาตรา 27 มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />ในกรณีที่ไม่อาจตกลงกันได้ภายในระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าข้อพิพาทแรงงานนั้นเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ และให้ฝ่ายที่แจ้งข้อเรียกร้องนำข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ ส่งให้คณะกรรมการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้<br />เมื่อคณะกรรมการได้รับข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ ให้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับข้อพิพาทแรงงานดังกล่าว<br />ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นสมควร คณะกรรมการจะแต่งตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลเพื่อดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานดังกล่าวก่อนมีการวินิจฉัยชี้ขาดก็ได้<br />มาตรา 32 คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด ฝ่ายยื่นข้อเรียกร้องและฝ่ายรับข้อเรียกร้องต้องปฏิบัติตาม แต่ถ้าเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดที่เกี่ยวกับการเงินที่อยู่นอกเหนือกำหนดตามมาตรา 13 (2) จะมีผลใช้บังคับได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วและให้คำวินิจฉัยชี้ขาดมีผลใช้บังคับได้เป็นเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดหรือได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี<br />มาตรา 33 ไม่ว่ากรณีใดห้ามมิให้นายจ้างปิดงานหรือลูกจ้างนัดหยุดงาน<br />มาตรา 34 เมื่อได้มีการยื่นข้อเรียกร้องตามมาตรา 25 แล้ว ถ้าข้อเรียกร้องนั้นยังอยู่ในระหว่างการเจรจา การประนอม การไกล่เกลี่ย หรือการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานตามมาตรา 26มาตรา 27 มาตรา 28 มาตรา 29 มาตรา 30 หรือมาตรา 31 ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้าง หรือโยกย้ายหน้าที่การงานลูกจ้าง ผู้แทนลูกจ้าง <span style="color:#3333ff;"><span style="color:#ff0000;">กรรมการ หรือ อนุกรรมการซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง เว้นแต่บุคคลดังกล่าว<br />(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง<br />(2) จงใดทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย<br />(3) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบ หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง โดยนายจ้างได้ว่ากล่าวตักเตือนเป็นหนังสือแล้วและยังไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้รับทราบหนังสือเตือนนั้น ทั้งนี้ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งนั้น ต้องมิได้ออกเพื่อขัดขวางมิให้บุคคลดังกล่าวดำเนินการเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่จำต้องตักเตือน<br />(4) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร<br />ห้ามมิให้ลูกจ้าง ผู้แทนลูกจ้าง กรรมการ อนุกรรมการ หรือสมาชิกสหภาพแรงงานซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง สนับสนุน หรือก่อเหตุการณ์นัดหยุดงาน<br />มาตรา 35 ห้ามมิให้นายจ้าง<br />(1) เลิกจ้างหรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้ลูกจ้างไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้ เพราะเหตุที่ลูกจ้างได้ดำเนินการขอจัดตั้งสหภาพแรงงาน สหพันธ์แรงงาน หรือเข้าเป็นสมาชิก หรือกรรมการสหภาพแรงงาน กรรมการสหพันธ์แรงงาน กรรมการกิจการสัมพันธ์กรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ หรืออนุกรรมการ หรือ ดำเนินการฟ้องร้อง เป็นพยาน หรือให้หลักฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นายทะเบียนหรือคณะกรรมการ หรือต่อศาล<br />แรงงาน<br />(2) ขัดขวางในการที่ลูกจ้างเป็นสมาชิก หรือให้ลูกจ้างออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน สหพันธ์แรงงาน กรรมการกิจการสัมพันธ์ หรือให้ หรือตกลงจะให้เงิน หรือทรัพย์สินแก่ลูกจ้างหรือเจ้าหน้าที่ของสหภาพแรงงาน เพื่อมิให้สมัคร หรือรับสมัครลูกจ้างเป็นสมาชิก หรือเพื่อให้ออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน<br />(3) ขัดขวางการดำเนินการของสหภาพแรงงาน หรือสหพันธ์แรงงาน หรือขัดขวางการใช้สิทธิของลูกจ้างในการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน หรือ<br />(4) เข้าแทรกแซงการดำเนินการของสหภาพแรงงาน หรือสหพันธ์แรงงานโดยมิชอบด้วยกฎหมาย<br />มาตรา 36 ห้ามมิให้ผู้ใด<br />(1) บังคับหรือขู่เข็ญ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้ลูกจ้างต้องเป็นหรือห้ามไม่ให้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน หรือต้องออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานหรือ<br />(2) กระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้ฝ่ายนายจ้างฝ่าฝืนมาตรา 35<br />มาตรา 37 ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามมาตรา 25 วรรคหนึ่งหรือคำชี้ขาดตามมาตรา 32 มีผลใช้บังคับ ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างหรือโยกย้ายหน้าที่การงานของกรรมการ อนุกรรมการ หรือสมาชิกสหภาพแรงงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง เว้นแต่มีการยุบเลิกรัฐวิสาหกิจหรืองานส่วนหนึ่งส่วนใดของรัฐวิสาหกิจหรือบุคคลดังกล่าวได้กระทำการดังต่อไปนี้<br />(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง<br />(2) จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย<br />(3) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือระเบียบ หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างโดยนายจ้างได้ว่ากล่าวตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว และยังไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้รับทราบหนังสือเตือนนั้น ทั้งนี้ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งนั้น ต้องมิได้ออกเพื่อขัดขวางมิให้บุคคลดังกล่าวดำเนินการเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่จำต้องตักเตือน<br />(4) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร<br />(5) กระทำการใด ๆ เป็นการยุยง สนับสนุน หรือชักชวนให้มีการฝ่าฝืนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือคำชี้ขาด<br /></span>มาตรา 38 ให้ผู้เสียหายเนื่องจากการฝ่าฝืนมาตรา 35 หรือมาตรา 37 มีสิทธิยื่นคำร้องได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับความเสียหายกล่าวหาผู้ฝ่าฝืนต่อคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด<br />ให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดและออกคำสั่งภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้อง และให้ฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างปฏิบัติตามคำชี้ขาดนั้น ในกรณีนี้ ให้คณะกรรมการมีอำนาจออกคำสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน หรือให้จ่ายค่าเสียหาย หรือให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควรได้<br />มาตรา 39 ในกรณีที่นายทะเบียนเห็นว่า กรรมการของสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงานผู้ใดดำเนินการผิดวัตถุประสงค์ของสหภาพแรงงาน หรือสหพันธ์แรงงาน แล้วแต่กรณี และการดำเนินการนั้นเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน หรือความมั่นคงของประเทศ ให้ส่งเรื่องต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยโดยมิชักช้า<br />ให้คณะกรรมการวินิจฉัยและออกคำสั่งภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอและให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติตามคำสั่งนั้น<br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br />หมวด 4<br /></span><span style="color:#ff0000;">สหภาพแรงงาน<br />มาตรา 40 สหภาพแรงงานจะมีขึ้นได้ ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้สหภาพแรงงานต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อ<br />(1) ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง และระหว่างลูกจ้างด้วยกัน<br />(2) พิจารณาช่วยเหลือสมาชิกตามคำร้องทุกข์<br />(3) แสวงหาและคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับสภาพการจ้างของลูกจ้าง<br />(4) ดำเนินการและให้ความร่วมมือเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และรักษาผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจ<br />ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งมีสหภาพแรงงานได้เพียงสหภาพแรงงานเดียว<br /></span>มาตรา 41 บุคคลดังต่อไปนี้ มีสิทธิรวมตัวกันจัดตั้งสหภาพแรงงานได้<br />(1) เป็นลูกจ้างในรัฐวิสาหกิจเดียวกันที่มิใช่ฝ่ายบริหาร<br />(2) บรรลุนิติภาวะแล้ว และ<br />(3) มีสัญชาติไทย<br />มาตรา 42 สหภาพแรงงานจะตั้งขึ้นได้ต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของลูกจ้างทั้งหมดแต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว เป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นงานตามโครงการ ต้องมีข้อบังคับ และต้องจดทะเบียนต่อนายทะเบียน และเมื่อได้จดทะเบียนแล้ว ให้สหภาพแรงงานเป็นนิติบุคคล<br />มาตรา 43 การขอจดทะเบียนสหภาพแรงงาน ให้ลูกจ้างมีสิทธิจัดตั้งสหภาพแรงงานจำนวนไม่น้อยกว่าสิบคน เป็นผู้เริ่มก่อการ ยื่นคำขอเป็นหนังสือต่อนายทะเบียน พร้อมด้วยร่างข้อบังคับของสหภาพแรงงานอย่างน้อยสามฉบับ บัญชีรายชื่อและลายมือชื่อของผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของลูกจ้างทั้งหมด แต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว เป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นงานตามโครงการ<br />คำขอและบัญชีรายชื่อให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำหนด<br />ลูกจ้างคนหนึ่งจะเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานได้เพียงแห่งเดียว<br />เมื่อนายทะเบียนรับคำขอจดทะเบียนสหภาพแรงงานแล้ว ให้นายทะเบียนปิดประกาศโดยเปิดเผย ณ สถานที่ทำงานของลูกจ้าง เพื่อให้ลูกจ้างทั้งหมดทราบ<br />มาตรา 44 ข้อบังคับของสหภาพแรงงาน ต้องมีข้อความดังต่อไปนี้<br />(1) ชื่อ ซึ่งต้องมีคำว่า "สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ" กำกับไว้หน้าชื่อนั้นด้วย<br />(2) วัตถุประสงค์<br />(3) ที่ตั้งสำนักงาน<br />(4) วิธีรับสมาชิกและการขาดจากสมาชิกภาพ<br />(5) อัตราเงินค่าสมัครและค่าบำรุงและวิธีการชำระเงิน<br />(6) ข้อกำหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสมาชิก<br />(7) ข้อกำหนดเกี่ยวกับคณะกรรมการ ได้แก่ จำนวนกรรมการ การเลือกตั้งกรรมการ วาระของการเป็นกรรมการ การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ และการประชุมของคณะกรรมการ<br />(8) ข้อกำหนดเกี่ยวกับการประชุมใหญ่<br />(9) ข้อกำหนดเกี่ยวกับการบริหารสหภาพแรงงาน<br />(10) ข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้จ่าย การเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินอื่น ตลอดจนการทำบัญชีและการตรวจบัญชี<br />ข้อบังคับตามวรรคหนึ่ง ต้องมีสาระที่สามารถเอื้ออำนวยให้การดำเนินงานของสหภาพแรงงานเป็นไปโดยเกิดความเป็นธรรม และรักษาประโยชน์ของสมาชิกและลูกจ้างในรัฐวิสาหกิจ และต้องไม่มีสาระเป็นการกีดกันการเข้าเป็นสมาชิกหรือต้องขาดจากสมาชิกภาพโดยไม่มีเหตุอันควร<br />มาตรา 45 เมื่อนายทะเบียนได้รับคำขอจดทะเบียนสหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจใดและตรวจสอบแล้วเห็นว่า วัตถุประสงค์ถูกต้องตามขอบเขตของมาตรา 40 และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ผู้ยื่นคำขอมีคุณสมบัติถูกต้องตามมาตรา 41 คำขอดังกล่าว มีข้อความตลอดจนเอกสารหลักฐานครบถ้วนถูกต้อง ตามมาตรา 43 และข้อบังคับถูกต้องตามมาตรา 44 มีรายชื่อและลายมือชื่อผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของลูกจ้างทั้งหมด แต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว เป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นงานตามโครงการ และยังไม่มีการจดทะเบียนสหภาพแรงงานขึ้นในรัฐวิสาหกิจนั้น ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนและออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสหภาพแรงงาน ให้แก่สห<br />ภาพแรงงานนั้น<br />คำขอจดทะเบียนรายใด มีข้อความตลอดจนเอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วนถูกต้องอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมีผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานไม่ถึงร้อยละยี่สิบห้าของลูกจ้างทั้งหมดตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนรายดังกล่าวดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องครบถ้วนภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งให้ทราบถ้าผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนไม่ดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลานั้น<br />ให้ถือว่าคำขอจดทะเบียนสหภาพแรงงานรายดังกล่าวเป็นอันตกไป<br />มาตรา 46 ในกรณีที่มีผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนสหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจใดเกินหนึ่งราย ถ้าปรากฏว่าคำขอจดทะเบียนรายใดมีข้อความและเอกสารหลักฐานครบถ้วนถูกต้องตลอดจนได้แจ้งจำนวนผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานถึงร้อยละยี่สิบห้าของลูกจ้างทั้งหมดตามมาตรา 45 เป็นลำดับแรก ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนสหภาพแรงงานนั้นแต่ถ้ามีคำขอที่มีลักษณะครบถ้วนดังกล่าวเกินหนึ่งราย ให้นายทะเบียนดำเนินการให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนแต่ละรายมาร่วมพิจารณาทำความตกลงเพื่อรวมเป็นคำขอเดียวกัน ถ้าไม่สามารถตกลงกันได้ ให้รับจดทะเบียนสหภาพแรงงานที่มีจำนวนผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกมากที่สุด ถ้ายังปรากฏว่ามีคำขอจดทะเบียนสหภาพแรงงาน โดยมีจำนวนรายชื่อผู้แสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกมากที่สุดเท่ากันเกินหนึ่งราย ให้นาย<br />ทะเบียนดำเนินการจับสลากโดยเปิดเผยระหว่างผู้ยื่นคำขอดังกล่าวและรับจดทะเบียนสหภาพแรงงานรายที่จับสลากได้<br />มาตรา 47 ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่รับจดทะเบียนต่อรัฐมนตรีโดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อรัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว<br />ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ และแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสืออุทธรณ์<br />คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด<br />มาตรา 48 เมื่อได้จดทะเบียนแล้ว ให้นายทะเบียนประกาศการจดทะเบียนสหภาพแรงงานในราชกิจจานุเบกษา<br />มาตรา 49 ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสหภาพแรงงานจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายในหนึ่งร้อยยี่สิบนับแต่วันที่จดทะเบียน เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการสหภาพแรงงานและมอบหมายการทั้งปวงให้แก่คณะกรรมการสหภาพแรงงานเลือกตั้งผู้สอบบัญชี และอนุมัติร่างข้อบังคับที่ได้ยื่นต่อนายทะเบียนตามมาตรา 45<br />เมื่อที่ประชุมใหญ่ได้เลือกตั้งคณะกรรมการสหภาพแรงงาน และอนุมัติร่างข้อบังคับแล้ว ให้นำสำเนาข้อบังคับและรายชื่อ ที่อยู่ อาชีพ หรือวิชาชีพของกรรมการสหภาพแรงงานไปจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ<br />มาตรา 50 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสหภาพแรงงานและการเปลี่ยนแปลงกรรมการสหภาพแรงงาน จะกระทำได้โดยมติของที่ประชุมใหญ่และต้องนำไปจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ<br />การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับและการเปลี่ยนแปลงกรรมการสหภาพแรงงานตามวรรคหนึ่ง จะมีผลใช้บังคับต่อเมื่อนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนแล้ว<br />ให้นำมาตรา 45 มาใช้บังคับแก่การขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับและการเปลี่ยนแปลงกรรมการสหภาพแรงงานโดยอนุโลม<br />มาตรา 51 สมาชิกของสหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจใดจะต้องเป็นลูกจ้างในรัฐวิสาหกิจนั้นตลอดเวลาที่ยังเป็นสมาชิก<br />ห้ามมิให้ฝ่ายบริหารเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน<br />มาตรา 52 สมาชิกของสหภาพแรงงานมีสิทธิขอตรวจสอบทะเบียนสมาชิกเอกสาร หรือบัญชีเพื่อทราบการดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานได้ในเวลาเปิดทำการ<br />ในการขอตรวจสอบตามวรรคหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของสหภาพแรงงานต้องให้ความสะดวกตามสมควร<br />มาตรา 53 สมาชิกภาพของสมาชิกสหภาพแรงงานสิ้นสุดลง เมื่อ<br />(1) ตาย<br />(2) ลาออก<br />(3) ที่ประชุมใหญ่ให้ออก เพราะมีเหตุตามที่กำหนดในข้อบังคับของสหภาพแรงงาน<br />(4) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 51<br />มาตรา 54 เพื่อประโยชน์ของสมาชิกสหภาพแรงงาน ให้สหภาพแรงงานมีสิทธิหน้าที่ดังต่อไปนี้<br />(1) ยื่นข้อเรียกร้องต่อฝ่ายนายจ้างเกี่ยวกับสภาพการจ้างแทนสมาชิก<br />(2) ยื่นคำร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์เพื่อพิจารณาตามมาตรา 23 (4)<br />(3) ตั้งผู้แทนเข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์<br />(4) จัดให้มีการให้บริการเพื่อสวัสดิการของสมาชิก หรือจัดสรรเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสาธารณประโยชน์ ทั้งนี้ ตามที่ที่ประชุมใหญ่เห็นสมควร<br />(5) เรียกเก็บเงินค่าสมัครเป็นสมาชิกและเงินค่าบำรุงตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับของสหภาพแรงงาน<br />(6) ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 40<br />มาตรา 55 ให้สหภาพแรงงานมีคณะกรรมการสหภาพแรงงานเป็นผู้ดำเนินกิจการและเป็นผู้แทนของสหภาพแรงงานในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก เพื่อการนี้คณะกรรมการสหภาพแรงงานจะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนทำแทนก็ได้<br />คณะกรรมการสหภาพแรงงานอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสหภาพแรงงานเพื่อปฏิบัติงานตามที่มอบหมายได้<br />คณะกรรมการสหภาพแรงงานประกอบด้วย ประธานสหภาพแรงงานเป็นประธานกรรมการและมีกรรมการอื่นตามที่กำหนดในข้อบังคับ<br />มาตรา 56 กรรมการสหภาพแรงงานหรืออนุกรรมการสหภาพแรงงานตามมาตรา 55 ต้องเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานนั้น<br />กรรมการสหภาพแรงงานซึ่งนายทะเบียนสั่งให้ออกจากตำแหน่งตามมาตรา 63จะดำรงตำแหน่งกรรมการสหภาพแรงงานใหม่ได้ ต่อเมื่อพ้นกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่นายทะเบียนสั่งให้ออกจากตำแหน่ง<br />มาตรา 57 สหภาพแรงงานจะกระทำการดังต่อไปนี้ได้ก็แต่โดยมติของที่ประชุมใหญ่<br />(1) แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ<br />(2) เลือกตั้งกรรมการสหภาพแรงงาน เลือกตั้งผู้สอบบัญชี รับรองงบดุล รายงานประจำปีและงบประมาณ<br />(3) จัดให้มีการให้บริการเพื่อสวัสดิการของสมาชิก หรือจัดสรรเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสาธารณประโยชน์<br />(4) ร่วมจัดตั้งหรือเข้าเป็นสมาชิกสหพันธ์แรงงาน<br />(5) รับเงินช่วยเหลือจากบุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทย หรือคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว<br />(6) เลิกสหภาพแรงงาน<br />มาตรา 58 เมื่อสหภาพแรงงานปฏิบัติการดังต่อไปนี้ เพื่อประโยชน์ของสมาชิกสหภาพแรงงาน ให้สหภาพแรงงาน กรรมการสหภาพแรงงาน อนุกรรมการสหภาพแรงงาน และเจ้าหน้าที่ของสหภาพแรงงานได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกกล่าวหา หรือฟ้องร้องทางอาญาหรือทางแพ่ง<br />(1) เข้าร่วมเจรจาทำความตกลงกับนายจ้าง เพื่อเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้าง<br />(2) ชี้แจงหรือโฆษณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง หรือข้อพิพาทแรงงานหรือการดำเนินงานของสหภาพแรงงาน<br />ทั้งนี้ เว้นแต่เป็นความผิดทางอาญาในลักษณะความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน เกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย เกี่ยวกับเสรีภาพ และชื่อเสียง เกี่ยวกับทรัพย์และความผิดในทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดทางอาญาในลักษณะดังกล่าว<br />มาตรา 59 การให้กรรมการสหภาพแรงงานไปดำเนินงานสหภาพแรงงานหรือไปร่วมการประชุมสหภาพแรงงานหรือสัมมนาใด ๆ โดยถือเสมือนว่าการไปดำเนินงานดังกล่าวเป็นการทำงานให้กับนายจ้างให้เป็นไปตามที่สหภาพแรงงานและนายจ้างจะได้ตกลงกัน<br />ลูกจ้างซึ่งเป็นกรรมการของสหภาพแรงงานมีสิทธิลาไปร่วมประชุมสหภาพแรงงานหรือร่วมการประชุมหรือสัมมนาอื่นได้ ทั้งนี้ ให้สหภาพแรงงานแจ้งให้นายจ้างทราบล่วงหน้า และให้ถือว่าวันเวลาที่ลูกจ้างไปดำเนินงานดังกล่าวเป็นวันทำงานให้กับนายจ้าง<br />มาตรา 60 สหภาพแรงงานต้องจัดให้มีทะเบียนสมาชิกตามแบบที่อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำหนด และเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานพร้อมที่จะให้ตรวจสอบได้ในเวลาทำการ<br />ให้สหภาพแรงงานประกาศวันและเวลาเปิดทำการไว้ที่สำนักงานของสหภาพแรงงาน<br />มาตรา 61 สหภาพแรงงานต้องจัดให้มีการตรวจสอบบัญชีและต้องเสนองบดุลพร้อมด้วยรายงานการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีต่อที่ประชุมใหญ่<br />เมื่อที่ประชุมใหญ่รับรองงบดุลและรายงานการสอบบัญชีแล้ว ให้ส่งสำเนาหนึ่งชุดให้แก่นายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่มีมติรับรอง<br />มาตรา 62 ให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายมีอำนาจสั่งให้นายจ้าง กรรมการของสหภาพแรงงาน หรือสมาชิกของสหภาพแรงงาน กระทำการหรืองดเว้นการกระทำใด ๆ เพื่อให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือที่กำหนดไว้ในกฎหมาย หรือข้อบังคับของสหภาพแรงงานแล้วแต่กรณี และให้มีอำนาจดังต่อไปนี้<br />(1) เข้าไปในรัฐวิสาหกิจหรือสำนักงานของสหภาพแรงงานในเวลาทำการ เพื่อสอบข้อเท็จจริงหรือตรวจสอบกิจการของสหภาพแรงงาน<br />(2) สั่งให้ฝ่ายนายจ้าง กรรมการสหภาพแรงงาน อนุกรรมการสหภาพแรงงาน หรือเจ้าหน้าที่ของสหภาพแรงงาน ส่งหรือแสดงเอกสาร หรือบัญชีของสหภาพแรงงาน เพื่อประกอบการพิจารณากรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้น<br />(3) สอบถามบุคคลใน (2) หรือเรียกบุคคลดังกล่าวมาเพื่อสอบถามหรือให้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของสหภาพแรงงาน<br />มาตรา 63 นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้กรรมการสหภาพแรงงานผู้ใดผู้หนึ่งหรือคณะกรรมการสหภาพแรงงาน ออกจากตำแหน่งได้ เมื่อปรากฏว่า<br />(1) กระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานตามหน้าที่ของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ นายทะเบียน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่<br />(2) ฝ่าฝืนมาตรา 57 (5)<br />(3) ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายตามมาตรา 62<br />(4) ดำเนินการไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของสหภาพแรงงานอันเป็นการขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจจะเป็นภัยต่อเศรษฐกิจหรือความมั่นคงของประเทศ หรือ<br />(5) ให้หรือยินยอมให้ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งมิใช่กรรมการสหภาพแรงงานเป็นผู้ดำเนินกิจการของสหภาพแรงงาน<br />คำสั่งตามวรรคหนึ่งให้ทำเป็นหนังสือและแจ้งให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องและสหภาพแรงงานทราบโดยมิชักช้า<br />มาตรา 64 ผู้ซึ่งได้รับคำสั่งให้ออกจากตำแหน่งกรรมการสหภาพแรงงานตามมาตรา 63 มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อรัฐมนตรีโดยทำเป็นหนังสือภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง<br />ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์และแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสืออุทธรณ์ คำวินิจฉัยชี้ขาดของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด<br />มาตรา 65 สหภาพแรงงานย่อมเลิกด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้<br />(1) ถ้ามีข้อบังคับของสหภาพแรงงานกำหนดให้เลิกในกรณีใด เมื่อมีกรณีนั้น<br />(2) ที่ประชุมใหญ่มีมติให้เลิก<br />(3) ล้มละลาย<br />(4) นายทะเบียนมีคำสั่งให้เลิกตามมาตรา 66<br />มาตรา 66 นายทะเบียนมีคำสั่งให้เลิกสหภาพแรงงานได้ในกรณีดังต่อไปนี้<br />(1) เมื่อนายทะเบียนตรวจสอบและพบภายหลังว่า การรับจดทะเบียนและออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสหภาพแรงงานแก่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนนั้นไม่เป็นไปตามมาตรา 45หรือมาตรา 46<br />(2) เมื่อปรากฏว่าการดำเนินการของสหภาพแรงงานขัดต่อวัตถุประสงค์ ขัดต่อกฎหมาย หรือเป็นภัยต่อเศรษฐกิจ หรือความมั่นคงของประเทศ หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน<br />(3) เมื่อนายทะเบียนมีคำสั่งให้เลือกตั้งกรรมการขึ้นใหม่ทั้งคณะ และไม่ดำเนินการเลือกตั้งภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด หรือภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนขยายระยะเวลาให้จนสิ้นระยะเวลาดังกล่าว<br />(4) เมื่อสหภาพแรงงานไม่ดำเนินกิจการติดต่อกันเป็นเวลาเกินสองปี หรือ<br />(5) เมื่อมีจำนวนสมาชิกเหลือน้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของลูกจ้างทั้งหมดแต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งเป็นฝ่ายบริหารหรือทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว เป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นงานตามโครงการ<br />เมื่อนายทะเบียนมีคำสั่งให้เลิกสหภาพแรงงานใด ให้แจ้งคำสั่งเป็นหนังสือให้สหภาพแรงงานนั้นทราบโดยมิชักช้า<br />มาตรา 67 คำสั่งให้เลิกสหภาพแรงงานตามมาตรา 66 กรรมการเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ถูกสั่งให้เลิก มีสิทธิเข้าชื่อกันอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อรัฐมนตรี โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง<br />การอุทธรณ์คำสั่งต่อรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นเหตุทุเลาการบังคับตามคำสั่งของนายทะเบียน<br />ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์และแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รับอุทธรณ์คำวินิจฉัยชี้ขาดของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด<br />คำสั่งเลิกสหภาพแรงงานให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์หรือเมื่อรัฐมนตรีวินิจฉัยชี้ขาด แล้วแต่กรณี<br />มาตรา 68 เมื่อสหภาพแรงงานต้องเลิกตามมาตรา 65 ให้แต่งตั้งผู้ชำระบัญชีและให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัด มาใช้บังคับแก่การชำระบัญชีสหภาพแรงงานโดยอนุโลม<br />มาตรา 69 เมื่อชำระบัญชีแล้ว ถ้ามีทรัพย์สินเหลืออยู่ ห้ามมิให้นำไปแบ่งให้แก่สมาชิกของสหภาพแรงงาน แต่ให้โอนทรัพย์สินนั้นไปให้แก่สหภาพแรงงานอื่นตามที่ได้ระบุไว้ในข้อบังคับว่าด้วยวิธีการจัดการของสหภาพแรงงาน หรือตามมติของที่ประชุมใหญ่<br />ในกรณีที่ในข้อบังคับหรือที่ประชุมใหญ่ มิได้ระบุให้สหภาพแรงงานใดเป็นผู้รับทรัพย์สินที่เหลือนั้น ให้ผู้ชำระบัญชีมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่มูลนิธิหรือสมาคมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการสงเคราะห์ช่วยเหลือหรือส่งเสริมสวัสดิการของผู้ใช้แรงงาน<br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br />หมวด 5<br />สหพันธ์แรงงาน<br />มาตรา 70 สหภาพแรงงานตั้งแต่สิบสหภาพแรงงานขึ้นไป อาจรวมกันจัดตั้งสหพันธ์แรงงานได้เพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับสภาพการจ้างและเพื่อส่งเสริมการศึกษาและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีในรัฐวิสาหกิจ<br />สหพันธ์แรงงานต้องมีข้อบังคับและต้องจดทะเบียนต่อนายทะเบียน เมื่อได้จดทะเบียนแล้วให้สหพันธ์แรงงานเป็นนิติบุคคล<br />มาตรา 71 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยสหภาพแรงงานในหมวด 4 มาใช้บังคับแก่สหพันธ์แรงงานโดยอนุโลม<br />มาตรา 72 สหพันธ์แรงงานอาจเข้าเป็นสมาชิกสภาองค์การลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ได้<br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br />หมวด 6<br />บทกำหนดโทษ<br />มาตรา 73 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 13 วรรคสอง หรือมาตรา 24 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />มาตรา 74 ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวก ไม่ตอบหนังสือสอบถาม ไม่ชี้แจงข้อเท็จจริง หรือไม่ส่งสิ่งของหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องแก่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการตามมาตรา 16 หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายตามมาตรา 62 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />มาตรา 75 ผู้แทนฝ่ายนายจ้างหรือผู้แทนฝ่ายสหภาพแรงงานตามมาตรา 25หรือที่ปรึกษาฝ่ายนายจ้างหรือฝ่ายสหภาพแรงงานตามมาตรา 26 ผู้ใดรับหรือยอมจะรับเงินหรือทรัพย์สินจากผู้ใดผู้หนึ่งเพื่อกระทำการอันเป็นเหตุให้รัฐวิสาหกิจหรือสหภาพแรงงานต้องเสียผลประโยชน์ที่ควรได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />มาตรา 76 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงตามมาตรา 27 วรรคสอง หรือฝ่าฝืนมาตรา 29 วรรคสอง หรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการตามมาตรา 32ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />มาตรา 77 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 33 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />ผู้ใดยุยงปลุกปั่นเพื่อให้มีการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />มาตรา 78 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการตามมาตรา 39วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />มาตรา 79 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 34 หรือมาตรา 36 หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการตามมาตรา 38 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ<br />มาตรา 80 ผู้ใดเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานโดยรู้อยู่ว่าสหภาพแรงงานนั้นยังไม่ได้จดทะเบียนตามมาตรา 45 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ<br />ผู้ใดเป็นผู้ดำเนินการสหภาพแรงงานที่ยังไม่ได้จดทะเบียน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />มาตรา 81 ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสหภาพแรงงานผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 49 หรือกรรมการสหภาพแรงงานผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 50 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินวันละห้าสิบบาทตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่<br />มาตรา 82 สหภาพแรงงานใดรับบุคคลเข้าเป็นสมาชิกโดยฝ่าฝืนมาตรา 51 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท<br />มาตรา 83 สหภาพแรงงานใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 60 หรือมาตรา 61ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน สองพันบาท<br />กรรมการสหภาพแรงงานผู้ใดรู้เห็นเป็นใจให้สหภาพแรงงานกระทำการตามวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br /><br />มาตรา 84 ผู้ใดเป็นสมาชิกสหพันธ์แรงงานโดยรู้อยู่ว่าสหพันธ์แรงงานนั้นยังไม่ได้จดทะเบียนตามมาตรา 70 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />ผู้ใดดำเนินการสหพันธ์แรงงานที่ยังไม่ได้จดทะเบียน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />มาตรา 85 สหพันธ์แรงงานใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 71 ประกอบด้วยมาตรา 60 หรือมาตรา 61 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท<br />กรรมการสหพันธ์แรงงานผู้ใดรู้เห็นเป็นใจให้สหพันธ์แรงงานเข้ากระทำการตามวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />มาตรา 86 ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสหพันธ์แรงงานผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 71ประกอบด้วยมาตรา 49 หรือกรรมการสหพันธ์แรงงานผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 71 ประกอบด้วยมาตรา 50 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินวันละห้าสิบบาทตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่<br />มาตรา 87 สหพันธ์แรงงานใดรับบุคคลเข้าเป็นสมาชิกโดยฝ่าฝืนมาตรา 71ประกอบด้วยมาตรา 51 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท<br />มาตรา 88 ผู้ใดใช้คำว่า "สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ" หรือ "สหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ" หรืออักษรต่างประเทศซึ่งมีความหมายทำนองเดียวกัน ประกอบกับชื่อในดวงตราป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับกิจการธุรกิจโดยมิได้เป็นสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงาน ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และปรับอีกเป็นรายวันไม่เกินวันละห้าร้อยบาทจนกว่าจะเลิกใช้<br />มาตรา 89 เมื่อสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงานได้เลิกตามพระราชบัญญัตินี้กรรมการ อนุกรรมการ หรือสมาชิกของสหภาพแรงงาน หรือสหพันธ์แรงงานผู้ใดขัดขวางการดำเนินการของผู้ชำระบัญชี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br /><br />มาตรา 90 ผู้ใดยังคงดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงานซึ่งได้เลิกไปแล้วตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่การชำระบัญชีของสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงานต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />มาตรา 91 บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษปรับสถานเดียวหรือมีโทษปรับหรือโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับให้นายทะเบียนมีอำนาจเปรียบเทียบได้<br />ภายใต้บังคับของบทบัญญัติตามวรรคหนึ่งในการสอบสวนถ้าพนักงานสอบสวนพบว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และบุคคลนั้นยินยอมให้เปรียบเทียบให้พนักงานสอบสวนส่งเรื่องมายังนายทะเบียนภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ผู้นั้นแสดงความยินยอมให้เปรียบเทียบ<br />เมื่อผู้กระทำผิดได้ชำระเงินค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบภายในสามสิบวันแล้วให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา<br />ถ้าผู้กระทำผิดไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบ หรือเมื่อยินยอมแล้วไม่ชำระเงินค่าปรับภายในกำหนดเวลาตามวรรคสามให้ดำเนินคดีต่อไปได้<br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br />บทเฉพาะกาล<br /><br />มาตรา 92 ให้ถือว่าสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งได้จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 เป็นสหภาพแรงงานตามพระราชบัญญัตินี้และมีสิทธิหน้าที่ดำเนินการได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้<br />เมื่อครบกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ถ้าสหภาพแรงงานตามวรรคหนึ่งแห่งใดมีสมาชิกไม่ครบตามที่กำหนดในมาตรา 42 ให้ถือว่าสหภาพแรงงานนั้นเป็นอันสิ้นสุดและให้นำบทบัญญัติตามมาตรา 68 และมาตรา 69 มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />มาตรา 93 เมื่อครบกำหนดตามมาตรา 92 วรรคสอง ให้สหภาพแรงงานตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง ที่มีสมาชิกครบตามที่กำหนดในมาตรา 42 จัดให้มีการเลือกตั้งกรรมการสหภาพแรงงานขึ้นใหม่โดยมิชักช้า<br />ให้กรรมการสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นกรรมการสหภาพแรงงานตามมาตรา 92 พ้นจากตำแหน่งเมื่อจัดให้มีการเลือกตั้งกรรมการสหภาพแรงงานขึ้นใหม่แล้ว หรือเมื่อพ้นหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ ไม่ว่าข้อบังคับของสหภาพแรงงานนั้นจะกำหนดไว้อย่างไร<br />มาตรา 94 ให้ถือว่าคำขอจัดตั้งสมาคมพนักงานรัฐวิสาหกิจที่ได้ยื่นไว้ตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นคำขอจัดตั้งสหภาพแรงงานตามพระราชบัญญัตินี้<br />มาตรา 95 บรรดาระเบียบ ประกาศ มติ คำวินิจฉัยชี้ขาด หรือคำสั่งของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ที่ถึงที่สุดแล้วตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ.ศ. 2534 ซึ่งมีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ยังคงใช้บังคับต่อไป<br />ให้ถือว่าบรรดาสภาพการจ้างที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัตินี้<br />มาตรา 96 บรรดาคำร้อง คำร้องทุกข์ และข้อเสนอเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ได้ยื่นไว้ตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 และยังมิได้มีการพิจารณาวินิจฉัยถึงที่สุดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัตินี้<br />มาตรา 97 บทบัญญัติกฎหมายใด อ้างถึงกฎหมายว่าด้วยกฎหมายพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ให้ถือว่าอ้างถึงพระราชบัญญัตินี้ และคำว่า "พนักงาน" ตามกฎหมายดังกล่าวให้หมายถึง "ลูกจ้าง" ตามพระราชบัญญัตินี้<br />ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ<br />ชวน หลีกภัย<br />นายกรัฐมนตรี<br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br /><br />หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยเป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เพื่อให้ฝ่ายบริหารกับพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจมีสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบในขอบเขตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาและส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนความมั่นคงของประเทศ และสอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 [รก.2543/31ก/1/7 เมษายน 2543]<div class="blogger-post-footer">อ่านต่อ......</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/07456580236237347608noreply@blogger.com0