ซีรูเลียม พืชคลุมดินตระกูลถั่วที่ทนทานต่อความแห้งแล้ง
โดย วิชิต สุวรรณปรีชา
ประโยชน์ของพืชคลุมดินการปลูกพืชคลุมดิน ระหว่างแถวยางพารา หรือพืชประธาน ก่อประโยชน์ นานับประการ อาทิ
1. ช่วยป้องกันการชะล้างและการพังทลายของดิน
2. ช่วยควบคุมวัชพืช ทำให้ลดเวลา แรงงาน ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการปราบวัชพืช
3. รักษาความชุ่มชื้นให้กับดิน
4. เพิ่มธาตุอาหารให้กับดิน จากความสามารถในการตรึงไนโตรเจนของ บักเตรีไรโซเบียมในปมราก และเศษซากพืชคลุม ซึ่งในช่วง 5 ปีแรก ปริมาณธาตุอาหารที่กลับคืนดิน ได้แก่ ไนโตรเจน ไร่ละ 30-56 กก.ฟอสฟอรัส ไร่ละ 3-4.5 กก.โปแตสเซียม ไร่ละ 14-21 กก.แมกนีเซียม ไร่ละ 2.5-4.5 กก.
5. เพิ่มอินทรีย์วัตถุให้กับดิน
5. เพิ่มอินทรีย์วัตถุให้กับดิน
ลักษณะพันธุ์ซีรูเลียม
ลำต้น : เป็นเถาเลื้อย มีอายุหลายปี เถาแก่มีรากเป็นปุ่มเล็กๆ สีขาวเกือบทุกข้อ และงอกเป็นรากเมื่อ อยู่ชิดดินใบ : สีเขียวเข้มเป็นมัน แผ่นใบค่อนข้างหนา คล้ายใบโพธิ์ดอก : เป็นช่อสีม่วง เริ่มสร้างช่อดอกในเดือน ธันวาคมฝัก : สีน้ำตาลเข้ม ค่อนข้างเป็นเหลี่ยม ยาวประมาณ 5 เซนติเมตร มีเมล็ดฝักละ 2-9 เมล็ด
เมล็ด : มีผิวเรียบเป็นมัน สีเขียวอ่อน จนถึงน้ำตาล น้ำหนัก 1 กก. มีเมล็ดประมาณ 28,000 เมล็ด
การเจริญเติบโต : ขึ้นได้ดีในสภาพร่มเงามาก ช่วงแรกจะเจริญเติบโตช้า แต่ต่อไป จะเจริญเติบโต และคลุมดินได้หนาแน่น และคงทนกว่าพืชคลุม ดินชนิดอื่น ทนทานต่อความ แห้งแล้งได้ดีโดยเฉพาะ ในท้องที่ ที่มีสภาพแห้งแล้ง และมีปรากฏการณ์ฝนทิ้งช่วงเกิดขึ้นบ่อย จะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นได้มาก
การเจริญเติบโต : ขึ้นได้ดีในสภาพร่มเงามาก ช่วงแรกจะเจริญเติบโตช้า แต่ต่อไป จะเจริญเติบโต และคลุมดินได้หนาแน่น และคงทนกว่าพืชคลุม ดินชนิดอื่น ทนทานต่อความ แห้งแล้งได้ดีโดยเฉพาะ ในท้องที่ ที่มีสภาพแห้งแล้ง และมีปรากฏการณ์ฝนทิ้งช่วงเกิดขึ้นบ่อย จะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นได้มาก
การขยายพันธุ์ : - ใช้เมล็ดปลูก- ใช้เถาปักชำ
การเตรียมเมล็ดพันธุ์เนื่องจากเมล็ดพืชคลุมซีรูเลียม มีเปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง น้ำหรือความชื้นซึ่งจำเป็น ต่อการงอก ของเมล็ด จะซึมผ่านเข้าไปในเมล็ดยาก หากไม่กระตุ้นให้เมล็ดงอกดีขึ้นก่อนนำไปปลูกอาจทำให้เมล็ดที่นำไปปลูกงอกน้อย กว่าที่ควรจะเป็น การกระตุ้นเมล็ดพืชคลุมซีรูเลียมก่อนนำไปปลูกมี 2 วิธี ได้แก่
1. แช่เมล็ดพันธุ์ในกรดซัลฟูริคเข้มข้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 นาน 30 นาที แล้วนำไปล้างน้ำฝึ่งให้แห้งหมาดๆ
2. แช่ในน้ำอุ่น (ผสมน้ำเดือด 2 ส่วนกับน้ำเย็น 1 ส่วน) นาน 12 ชั่วโมง แล้วน้ำเมล็ดไปผึ่งให้แห้งหมาดๆ
ทั้ง 2 วิธีที่กล่าวมา เมื่อผึ่งเมล็ดให้แห้งพอหมาดแล้ว ให้คลุกเมล็ดพันธุ์กับปุ๋ยหินฟอสเฟตก่อนแล้วจึงนำไปปลูก การเตรียมต้นพันธุ์แบบเถาปักชำเถาที่นำมาใช้ปักชำ ต้องเป็นเถาหนุ่ม ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป สังเกตได้จากที่ข้อจะมีปุ่มรากสีขาวหรือมีรากออกเล็กน้อย ตัดเถาท่อนละ 2 ข้อ ใส่ถุงพลาสติก และรัดปากให้แน่น เพื่อให้เถาสดไม่เหี่ยวเฉา ก่อนนำไปปักชำ การปักชำ อาจใช้วิธีปักชำในถุง หรือปักชำในแปลงเพาะชำก็ได้
การปักชำในถุง ใช้ถุงเพาะชำขนาด 2 นิ้ว X 4 นิ้ว กรอกดินผสมลงไปให้เต็ม รดน้ำให้ชุ่ม แล้วจัดเรียงเป็นแถวไว้รอปักชำต่อไป ดินผสมที่กล่าวข้างต้น ใช้ดินร่วน 1 ลูกบาศก์เมตร ผสมปุ๋ยหินฟอสเฟต ครึ่งกิโลกรัมคลุกเคล้าปุ๋ยและดิน ให้เข้ากันดีจากนั้นให้นำเถาที่เตรียมไว้ ปักชำในถุงให้ส่วนข้อจมอยู่ใต้ดิน 1-2 เซนติเมตร ถุงละ 3-4 ท่อนกดดินในถุงให้แน่นพอประมาณ จัดเรียงไว้ในที่ร่ม รดน้ำให้ชุ่ม และหมั่นรดน้ำอยู่เสมอ ตลอดจนปักซ่อมเถาที่ตาย ภายในเวลาประมาณ 1 เดือน เถาที่ปักชำจะแตกรากและแตกยอดแขนงประมาณ3-4 แขนง รอจนใบแก่ก็พร้อมนำไปปลูกลงแปลงได้
การปักชำในแปลงเพาะชำให้เตรียมแปลงเพาะชำในที่ร่ม ด้วยการใช้ขี้เถ้าแกลบ ยกแปลงปลูกกว้างประมาณ 1 เมตรหนาประมาณ 4-5 นิ้ว แล้วรดน้ำให้ชุ่ม ปักชำเถาพันธุ์ ระยะห่างประมาณ 2 นิ้ว กดขี้เถ้าแกลบให้แน่นพอประมาณ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม และดูแลรักษา เช่นเดียวกับการปักชำในถุง หากฤดูปักชำเป็นฤดูแล้ง อาจใช้ไม่ไผ่ทำโครงหลังคาแล้วใช้พลาสติกคลุม เพื่อช่วยให้แปลงเพาะชำมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอทั้งช่วยประหยัดเวลา และน้ำได้อีกด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับการเตรียมพันธุ์สำหรับใช้ปลูกในพื้นที่จำนวนมาก
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก : ต้นฤดูฝน เพื่อให้พืชคลุมเจริญเติบโต และเถามีความแข็งแรงเพียงพอก่อนเข้าฤดูแล้ง
การปักชำในถุง ใช้ถุงเพาะชำขนาด 2 นิ้ว X 4 นิ้ว กรอกดินผสมลงไปให้เต็ม รดน้ำให้ชุ่ม แล้วจัดเรียงเป็นแถวไว้รอปักชำต่อไป ดินผสมที่กล่าวข้างต้น ใช้ดินร่วน 1 ลูกบาศก์เมตร ผสมปุ๋ยหินฟอสเฟต ครึ่งกิโลกรัมคลุกเคล้าปุ๋ยและดิน ให้เข้ากันดีจากนั้นให้นำเถาที่เตรียมไว้ ปักชำในถุงให้ส่วนข้อจมอยู่ใต้ดิน 1-2 เซนติเมตร ถุงละ 3-4 ท่อนกดดินในถุงให้แน่นพอประมาณ จัดเรียงไว้ในที่ร่ม รดน้ำให้ชุ่ม และหมั่นรดน้ำอยู่เสมอ ตลอดจนปักซ่อมเถาที่ตาย ภายในเวลาประมาณ 1 เดือน เถาที่ปักชำจะแตกรากและแตกยอดแขนงประมาณ3-4 แขนง รอจนใบแก่ก็พร้อมนำไปปลูกลงแปลงได้
การปักชำในแปลงเพาะชำให้เตรียมแปลงเพาะชำในที่ร่ม ด้วยการใช้ขี้เถ้าแกลบ ยกแปลงปลูกกว้างประมาณ 1 เมตรหนาประมาณ 4-5 นิ้ว แล้วรดน้ำให้ชุ่ม ปักชำเถาพันธุ์ ระยะห่างประมาณ 2 นิ้ว กดขี้เถ้าแกลบให้แน่นพอประมาณ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม และดูแลรักษา เช่นเดียวกับการปักชำในถุง หากฤดูปักชำเป็นฤดูแล้ง อาจใช้ไม่ไผ่ทำโครงหลังคาแล้วใช้พลาสติกคลุม เพื่อช่วยให้แปลงเพาะชำมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอทั้งช่วยประหยัดเวลา และน้ำได้อีกด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับการเตรียมพันธุ์สำหรับใช้ปลูกในพื้นที่จำนวนมาก
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก : ต้นฤดูฝน เพื่อให้พืชคลุมเจริญเติบโต และเถามีความแข็งแรงเพียงพอก่อนเข้าฤดูแล้ง
วิธีการปลูก : พื้นที่ราบ ใช้เมล็ดหว่าน อัตราไร่ละ 1 กก. ลงไประหว่างแถวพืชประธาน เป็นแถว2-3 แถว แต่ละแถวห่างกัน 1 เมตร และห่างจากแถวพืชประธาน 2-3 เมตรพื้นที่ลาดเท ขุดหลุมลึก 2-3 นิ้ว เป็นแถวเหนือระดับขั้นบันได แล้วฝังกลบเมล็ดพืชคลุมให้มิดกรณีใช้เถาปลูก ให้ปลูกห่างกัน ประมาณ 50 เซนติเมตร
ข้อควรปฏิบัติในฤดูแล้ง : ควรทำแนวป้องไฟ กว้าง 8 เมตร รอบๆ สวน และตลบเถาพืชคลุมในระหว่างแถวพืชประธานให้ห่างจากพืชประธาน 1 เมตร
ข้อควรปฏิบัติในฤดูแล้ง : ควรทำแนวป้องไฟ กว้าง 8 เมตร รอบๆ สวน และตลบเถาพืชคลุมในระหว่างแถวพืชประธานให้ห่างจากพืชประธาน 1 เมตร
การบำรุงรักษาพืชคลุมเพื่อเร่งพืชคลุมให้เจริญเติบโตได้เร็ว สามารถคลุมพื้นที่ได้หนาแน่น ให้ใส่ปุ๋ยหินฟอสเฟตหลังจากปลูกพืชคลุม 1-2 เดือน ในอัตราไร่ละ 15 กิโลกรัม และใส่ปุ๋ยบำรุงสูตร 15-15-15 ในอัตราไร่ละ 15 กิโลกรัม ปีละ 2 ครั้ง ในช่วงต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน
การเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชคลุมซีรูเลียมให้ผลผลิตครั้งแรกได้ภายหลังการปลูกไปแล้วประมาณ 1 ปี ฝักพืชคลุมที่เหมาะสมต่อการเก็บเกี่ยวสังเกตได้จากสีของฝักเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลวิธีเก็บเกี่ยวให้ใช้กรรไกรตัดฝักเมล็ดพืชคลุมออกจากต้น ไม่ควรใช้วิธีดึง หรือเด็ดออกจากต้นเพราะอาจทำให้เถาหักเสียหายได้ จากนั้นนำฝักที่เก็บได้ไปตากแดด เพื่อช่วยให้เมล็ดกะเทาะออกจากฝักได้ง่าย แต่ในปีแรกไม่ควรเก็บผลผลิตไปจำหน่ายทั้งหมด ควรปล่อยให้เมล็ดร่วงหล่นในแปลงบ้าง ตามความเหมาะสม เพื่อช่วยให้พืชคลุมในแปลงหนาแน่นมากขึ้น
การเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชคลุมซีรูเลียมให้ผลผลิตครั้งแรกได้ภายหลังการปลูกไปแล้วประมาณ 1 ปี ฝักพืชคลุมที่เหมาะสมต่อการเก็บเกี่ยวสังเกตได้จากสีของฝักเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลวิธีเก็บเกี่ยวให้ใช้กรรไกรตัดฝักเมล็ดพืชคลุมออกจากต้น ไม่ควรใช้วิธีดึง หรือเด็ดออกจากต้นเพราะอาจทำให้เถาหักเสียหายได้ จากนั้นนำฝักที่เก็บได้ไปตากแดด เพื่อช่วยให้เมล็ดกะเทาะออกจากฝักได้ง่าย แต่ในปีแรกไม่ควรเก็บผลผลิตไปจำหน่ายทั้งหมด ควรปล่อยให้เมล็ดร่วงหล่นในแปลงบ้าง ตามความเหมาะสม เพื่อช่วยให้พืชคลุมในแปลงหนาแน่นมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น